พรรคประชาธิปัตย์ เตือนรัฐบาล หยุดยุ่มย่ามแบงค์ชาติมากเกินงาม มัวแต่หมกมุ่นดิจิทัลวอลเล็ต แนะเร่งช่วยเหลือคนยากจน กลุ่มเปราะบาง ก่อน ซึ่งทำได้ทันที ใช้งบเพียง 2 แสนล้านบาท จบโครงการ ด้าน จุลพันธ์ ยืนยันเดินหน้าดิจิทัลวอลเล็ตต่อ ขณะที่ศิริกัญญา พร้อมสกัดทุกทาง
นายชนินทร์ รุ่งแสง รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ อดีตประธานกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจสภาผู้แทนฯ (ปชป.) กล่าวว่า ตามที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐบาบ เรียกร้องให้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือ แบงค์ชาติ ลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยเศรษฐกิจนั้น มองว่า ลดดอกเบี้ยแค่ 25 สตางค์ ไม่ได้ช่วยอะไร และกว่าจะส่งผลเศรษฐกิจจริงๆ ก็ไม่ใช่ระยะสั้นประมาณ 1 ปี ถึงจะเห็นผลทางเศรษฐกิจ แต่ควรไปขอให้แบงค์ชาติ ดำเนินการเรื่องมาตรการ LTV (Loan-to- Ratio) มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า
“หลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัย” คือ เกณฑ์อัตราส่วนสินเชื่อต่อราคาบ้านที่รัฐบาลกำหนดไว้ ซึ่งทำให้ผู้ที่ต้องการกู้เงินจากธนาคารเพื่อนำมาซื้อบ้าน “ถูกจำกัดวงเงินในการกู้ตามกำหนด”
ทั้งนี้ หากเราช่วยอสังหาริมทรัพย์ จะได้ผลผลิตทางเศรษฐกิจชัดเจนและเร็วกว่า ทำไมเรื่องแค่นี้ นายกฯ ที่มาจากภาคอสังหาริมทรัพย์แท้ๆ จึงไม่เข้าใจและไม่สนใจ ซึ่งที่สำคัญรัฐบาล คือ ฝ่ายการเมือง ควรรักษาระยะห่างการเข้าไปกดดันเกี่ยวพันกับแบงค์ชาติมากเกินไป จะทำให้ภาพความน่าเชื่อถือของแบงค์ชาติที่ต้องการความเป็นอิสระลดลง
นอกจากนั้น นายชนินทร์ ย้ำว่า นโยบายคลัง คือ กลไกสำคัญที่อยู่ในมือรัฐบาล เหมือนลูกบอลอยู่ในเท้า ทำไมไม่ใช้ จะต้องรอโครงการดิจิทัลวอลเล็ต อย่างเดียว ไม่มีแผนสองอยู่ในสมองบ้างเลยหรือ อย่างนี้จะดูแลประเทศ โดยเฉพาะปัญหาเฉพาะหน้าที่จะดูแลคนยากจน ที่รอการช่วยเหลืออยู่ได้อย่างไร
ขณะเดียวกัน ถ้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ไปไม่ไหว ยังไม่มีกำหนดที่ชัดเจน รัฐบาลควรดูแลคนจน กลุ่มเปราะบาง จำนวนไม่ถึง 20,000,000 คน ให้มีเงินใช้จ่ายอยู่ในมือ ซึ่งทำได้ทันที และไม่ต้องกู้เพราะใช้เงินประมาณ 200,000,000,000 บาท จบโครงการ โดยปัญหาเรื่องการบริโภคในประเทศ ไม่ได้มีปัญหารุนแรง เพราะว่ามีการเติบโตอยู่จากตัวเลขของสภาพัฒน์ฯ และแบงค์ชาติก็โตอยู่ประมาณ 7-8%
แต่ที่มีปัญหา คือ การบริโภคใช้จ่ายของภาครัฐที่ลดลง ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องทำได้อยู่แล้ว คือการไปเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ การลงทุน ให้รวดเร็ว แต่ต้องไม่รั่วไหล
อย่างไรก็ตาม เงินเฟ้อลดลงไม่ใช่เรื่องที่จะตีความว่า “เศรษฐกิจแย่”เพราะรู้กันอยู่ มาจากการเข้าไปอุดหนุนราคาพลังงานน้ำมันและไฟฟ้า ทำให้เงินเฟ้อผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง
ดังนั้น ช่วงระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศมีปัจจัยบวกทางเศรษฐกิจก็มาก ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว การลงทุน และการจ้างงาน โดยเฉพาะภาคบริการปรับตัวดีขึ้น แต่ตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไม่ดี โทษใครไม่ได้ นอกจากการบริหารประเทศที่ล้มเหลวของรัฐบาลเอง
ล่าสุด นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงว่ารายงานความเห็นของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเรื่องโครงการ แจกเงินดิจิตอล วอลเล็ต 10,000 บาท ว่า ตนยังไม่ได้รับเอกสารรายงานอย่างเป็นทางการ แต่ก็ได้รับทราบในรายละเอียดแล้ว ซึ่งสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ แม้จะเป็นการให้ความเห็น ตามหน้าที่ตามกฎหมาย มาตรา 32 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แต่กฎหมายกำหนดให้แค่การให้ความเห็นเพื่อป้องกันการทุจริต แต่ความเห็นดังกล่าวเป็นเหมือนการท้วงติงที่เกินขอบเขตอำนาจหน้าที่ของป.ป.ช. แต่อย่างไรก็ตามหากเอกสาร ฉบับทางการมาถึง รัฐบาล ก็จะนำเข้าหารือในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ในวันพฤหัสบดีที่ 15 กุมภาพันธ์ ซึ่งบางประเด็นตอบได้ง่ายอาจเป็นเพราะ ความไม่เข้าใจ หรือได้ข้อมูลไม่ครบถ้วนของ ป.ป.ช. ทั้งแหล่งที่มาของเงินเปลี่ยนจากงบประมาณเป็นพ.ร.บ.กู้เงิน และการใช้ระบบบล็อคเชนในการดำเนินโครงการ ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถชี้แจงได้
โดยในการประชุมจะมีการตั้งคณะอนุกรรมการป้องกันการทุจริต อนุกรรมการ รับฟังความคิดเห็นในสังคมและรับฟังความเห็นเพิ่มเติม และคณะอนุกรรมการดูแลด้านการเงิน และระบบต่างๆ
ทั้งนี้นายจุลพันธ์ ยังยืนยันว่ากลุ่มเป้าหมายของโครงการจ่ายเงินดิจิตอล วอลเล็ต 10,000 บาท ยังคงเป็นกลุ่มเดิม ดูเหมือนจะนำเสนอว่าในความเห็นของป.ป.ช. ที่เสนอให้ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือบัตรคนจน ต้องขอ ชี้แจงว่าปัจจุบันได้เปลี่ยนรัฐบาลแล้ว และ กลไกของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไม่สามารถแก้ไขปัญหาและกระตุ้นฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ เป็นเพียงแค่การหยอดน้ำข้าวต้ม แต่จำเป็นต้องมีกลไก ในการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ครั้งนี้ออกมา พร้อมย้ำว่าแนวคิดในการทำนโยบาย เป็นของรัฐบาล ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบต่อประชาชน ในขณะที่บางหน่วยงานไม่จำเป็นต้องตอบรับต่อเสียงสะท้อนของประชาชน หากเศรษฐกิจดำดิ่งยิ่งกว่าในปัจจุบันคนที่รับผิดชอบคือรัฐบาล จึงต้องแสดงความชัดเจน รัฐบาลมีหน้าที่ในการเดินหน้านโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภา และบรรจุเป็นนโยบายแห่งรัฐ โดยเป็นไปตามกรอบของกฎหมาย ทั้งนี้ยังไม่ขอยืนยันว่าจะเริ่มแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต ได้เมื่อไหร่ พอกันไปกับเกณฑ์แล้วทำไม่ได้จะไม่เป็นผลดี แต่ขอยืนยันว่าเดินหน้าโครงการแน่นอน
ส่วนที่ป.ป.ช.ขอให้ กกต.ตรวจสอบการดำเนินโครงการแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาทของรัฐบาล อาจไม่ตรงกับแนวนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ในช่วงของการหาเสียงเลือกตั้งเข้าข่ายสัญญาว่าจะให้ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 นายสุรพันธ์ เปิดเผยว่า ไม่รู้จะกังวลในเรื่องนี้เพราะนะรัฐบาลที่แล้วแทบจะไม่มีการทำตามนโยบายเลย ซึ่งพรรคเพื่อไทยก็เคยท้วงติ่งในเรื่องนี้ ในส่วนรัฐบาลปัจจุบันอย่างน้อยก็ได้ทำตามนโยบายที่ได้บอกไว้แม้รูปแบบจะเปลี่ยนบ้าง และในนโยบาย ที่พรรคการเมืองนำส่งกกต. จะมีการ ระบุไว้ว่าทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เศรษฐกิจและสังคม เพราะเมื่อความเหมาะสมเปลี่ยน ซึ่งขณะนี้การดำเนินโครงการดังกล่าวไม่ใช่นโยบายของพรรคการเมือง แต่เป็นนโยบายของรัฐบาลซึ่งประกอบขึ้นจากพรรคการเมืองหลายพรรค จะยึดนโยบายของพรรคใดพักหนึ่งไม่ได้ จำเป็นต้องนำมาผสมผสานเพื่อให้เกิด ความลงตัวและเดินหน้าได้
ส่วนที่มีนักร้องเตรียมจะยื่นเรื่อง ต่อศาลรัฐธรรมนูญ หากรัฐบาลเดินหน้าโครงการแจกเงินดิจิตอล wallet 10,000 บาทนั้น นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ประเทศไทยนักร้องเยอะอยู่แล้ว เชื่อว่าอย่างไรก็มีคนหยิบยกเรื่องนี้ไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและต้องการให้รัฐบาลเดินหน้าต่อเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาลก็จะเดินหน้าขอย้ำว่าโครงการดังกล่าวเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ใช่การสงเคราะห์
ขณะที่ นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึง การเดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต หลังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ให้ความเห็นว่า ถึงเวลาที่รัฐบาลต้องตัดสินใจได้แล้ว และเชื่อว่าหากเป็นมติของคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ตจะดีที่สุด เพราะจะมีการประชุมในสัปดาห์หน้า หลังหยุดชะงักงันมานาน ย้ำว่า ขณะนี้ไม่มีใครไม่เห็นด้วยว่าเศรษฐกิจไม่ดี แต่จะเข้าขั้นวิกฤตหรือไม่ต้องมีการพูดคุย และที่แน่ๆยังไม่มีมาตรการต่างๆมากระตุ้น เนื่องจากรัฐบาลใจจดใจจ่อกับดิจิทัลวอลเล็ตเพียงอย่างเดียว ทำให้โครงการอื่นล่าช้าออกไป ส่งผลต่อการฟื้นคืนเศรษฐกิจ
ส่วนประเทศขณะนี้ ”วิกฤต“ หรือไม่นั้น นางสาวศิริกัญญา บอกว่า ในคณะกรรมการที่ประกอบด้วยสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ , กระทรวงการคลัง , ธนาคารแห่งประเทศไทย , คณะกรรมการกฤษฎีกา ควรสามารถตกลงนิยามคำว่า “วิกฤต“ ได้แล้วว่า สามารถออก พ.ร.บ.กู้เงินให้กระทรวงการคลัง ตามเงื่อนไขของคณะกรรมการกฤษฎีกาหรือไม่
นางสาวศิริกัญญา ยังบอกว่า ได้เตือนมาตั้งแต่ต้นแล้ว ดังนั้นหากเดินลุยไฟออกเป็นพระราชบัญญัติกู้เงินก็สุ่มเสี่ยง อย่างไรก็ตาม สามารถไว้ใจพรรคก้าวไกลได้ว่า จะไม่ร้ององค์กรอิสระอย่างแน่นอน เพราะไม่ต้องการให้องค์กรอิสระเข้ามาแทรกแซง แต่ต้องการให้สภาเป็นผู้ตัดสินใจมากกว่า โดยจะอภิปรายเพื่อให้ประชาชนรับทราบ และหากเสียงข้างมากลงมติให้ผ่านความเห็นชอบ ก็ห้ามไม่ได้ ซึ่งอาจเป็นสารตั้งต้น ให้มีคนไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง