ฝุ่น PM 2.5 เป็นมลพิษและอันตรายต่อร่างกาย อย่างมากมาย และเป็นปัญหาใหญ่ที่ทุกคนต้องเจออยู่ในตอนนี้ เพราะฝุ่น PM 2.5 เป็นสิ่งที่ทุกๆคนเลี่ยงไม่ได้ แต่ต้องอยู่กับมันให้ได้
ในตอนนี้ทุกคนก็คงจะได้เห็นว่าฝุ่น PM 2.5 สร้างผลเสียต่อร่างกายอย่างอย่างไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็น คออักเสบ แสบจมูก และไอเป็นประจำ อาการเหล่านี้ ล้วนเกิดจากมลพิษทางอากาศหรือที่เราเรียกกันว่าฝุ่น PM 2.5 และเมื่อวันที่ 23 ม.ค 2567 ที่ผ่านมา ได้มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งออกมาโพสต์รูปภาพและแชร์ประสบการณ์ผ่านทางเพจ Drama-addict ว่า
"สวัสดีค่ะ มาขอรบกวนพื้นที่ระบายความอัดอั้นเรื่องฝุ่น PM 2.5 ค่ะ อยากทราบมุมมองของจ่าว่านอกจากการป้องกันตัวเองด้วยหน้ากาก หรือหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งแล้วตอนนี้ทางหน่วยงานภาครัฐเค้ามีวิธีการรับมือหรือป้องกันอะไรที่จับต้องได้บ้างไหมคะ นี่คือสภาพตัวเอง ณ ตอนนี้ ที่เป็นห่วงคือลูก-หลานที่จะต้องเติบโตต่อไปมากกว่าค่ะ
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้ประชาชนตั้งคำถามและสงสัยเกี่ยวกับเรื่องฝุ่น PM 2.5 ว่า ถ้าเป็นแบบนี้เรียกอันตรายถึงชีวิต แล้วหรือเปล่า? และยิงคำถามไปทางภาครัฐว่าได้เตรียมการรับมืออะไรบ้างที่สามาถจับต้องได้นอกจากการหลีกเลี่ยงเพียงอย่างเดียว เพราะทุกคนก็ล้วนต้องออกไปใช้ชีวิต
จากสิ่งที่เกิดขึ้นข้างต้น อาการตาแดง ก็เรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ต้องพบเจอจากฝุ่น PM 2.5 เพราะจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคเยื่อบุตาอักเสบหรือเป็นโรคตาแดงเรื้อรัง เกิดการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ทำให้เยี่อบุตาขาวอ่อนแอ
และหากขยี้ตาจะส่งผลให้กระจกตาถลอกได้ง่าย เพราะกระจกตาอ่อนแอ ทำให้เกิดโรคเยื่อบุตาเป็นภูมิแพ้เรื้อรัง สำหรับใครที่เป็นภูมิแพ้จมูกอยู่แล้วจะทำให้ภูมิแพ้ตากำเริบมากขึ้น จะมีอาการตาแดง เคืองตา คันตา เปลือกตาบวม มีขี้ตาเป็นเมือกสีขาว ทำให้เกิดอาการตาแห้ง
จากกรณีที่มีประชาชนแจ้งว่าได้รับผลกระทบจาก PM 2.5 ในเพจ Drama-addict
ทางด้าน กรมควบคุมโรค ก็ได้ออกมาบอกวิธีป้องกันที่นอกเหนือจากการ เช็คค่าฝุ่น คือ
1.ปิดประตูหน้าต่าง เพื่อป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็ก
2.หลีกเลี่ยงการออกจากบ้านโดยไม่จำเป็น
3.ถ้าจำเป็นต้องออกนอกบ้านให้สวมหน้ากากอนามัยที่สามารถป้องกัน PM 2.5 ได้คือ หน้ากากอนามัย N95
4.งดออกกำลังกายหรือทำงานหนักกลางแจ้ง
เมื่อเห็นผลกระทบที่เกิดจากฝุ่น PM 2.5 แล้วว่าเกิดผลเสียอะไรบ้าง
ควรหาแนวทางการป้องกันเบื้องต้นว่าควรทำอย่างไรเมื่อเกิดอาการแบบนี้
1.ใส่แว่นตาป้องกันฝุ่นและลมทุกครั้งที่ออกนอกอาคาร
2.ใช้สายตา 30 นาทีและพักสายตา และทุกๆ การจ้องมองจอโทรศัพท์มือถือนานติดต่อกันเกิน 10 นาที
3.ควรพักสายตาเพื่อลดอาการตาแห้ง ปวดตาหยอดน้ำตาเทียมวันละ 4 ครั้ง ในกลุ่มที่มีอาการตาแห้งอาจหยอดทุก 2 ชั่วโมง
4.ไม่ควรล้างตาบ่อยๆ เพราะจะทำให้ตาแห้งมากขึ้น หากต้องการล้างตาให้ใช้น้ำตาเทียมล้างแทน
5.หากพบว่าตาอักเสบไม่หาย หรือร่างกายมีความผิดปกติควรไปพบแพทย์
ที่มา Drama-addict
ข่าวที่เกี่ยวข้อง