SHORT CUT
เวลานี้ ทุกสายตาจับจ้องไปที่ คดีถือหุ้นสื่อ ITV ของ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดชี้ชะตาในวันพุธที่ 24 มกราคม 2567 นี้ ว่าท้ายที่สุดผลจะออกมาหัวหรือก้อย
ถ้าวันที่ 24 มกราคม นี้ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า “พิธา” ไม่ผิดปมถือหุ้น ITV ก็มีโอกาสสูงที่จะถูกเสนอชื่อกลับมาเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกลเพื่อนำทัพสู้ศึกการเมืองอีกครั้ง แต่ขณะเดียวกันถ้าคำวินิฉัยชี้ว่ามีความผิด เพราะหุ้นดังกล่าว ก็จะส่งผลให้ “พิธา” พ้นจากตำแหน่ง ส.ส. ทันที และพรรคก้าวไกลก็อาจถึงทางตันบนเส้นทางการเมืองนับจากนี้
ทั้งนี้ทั้งนั้น ก่อนวันพิพากษาที่กำลังจะมาถึง ทีม SPRINGNEW ขอพามาย้อนมหากาพย์ปม ถือหุ้นสื่อ ITV ของ ‘พิธา’ ที่ เป็นประเด็นร้อนแรงมาตั้งแต่ช่วงสุดท้ายของการเลือกตั้งปี 2566 ว่าเรื่องราวนี้มีความเป็นมาอย่างไร ?
ไอทีวี เป็น สถานีโทรทัศน์ ที่ดเนินการโดย บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้รับอนุมัติให้ดำเนินการสัมปทาน สถานีโทรทัศน์ระบบ UHF จากสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) จำนวน 1 ช่องสถานี ซึ่งก่อตั้งขึ้นในสมัยของ รัฐบาล “นายอานันท์ ปันยารชุน” ภายหลังจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535
เพราะในขณะนั้นมี สื่อโทรทัศน์ จำนวน 5 ช่อง ได้แก่ ช่อง 3 ททบ.5 ช่อง 7 (BBTV) ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. สทท. ซึ่งไม่ได้มีรายงานข่าวความรุนแรงอย่างตรงไปตรงมา ประชาชนจึงมีการเรียกร้อง ให้จัดตั้ง สถานีโทรทัศน์เสรีในระบบยูเอชเอฟ เพื่อให้คนไทยรับรู้ข่าวสารที่ถูกต้อง และเป็นกลางอย่างแท้จริง
เวลานั้นบริษัทผู้เข้าประมูล คือ 2 กลุ่มใหญ่ได้แก่ กลุ่มสยามทีวี ที่มีแกนหลักคือ ธนาคารไทยพาณิชย์ และกลุ่มผู้ผลิตรายการ ที่ประกอบด้วย เครือเนชั่น, บจก.แปซิฟิค อินเตอร์คอมมิวนิเคชั่นส์,บมจ.มติชน และ บมจ.สามารถ ซึ่งสุดท้ายผลปรากฏว่า กลุ่มบริษัท สยามทีวี ได้รับสัมปทานและได้รับอนุมัติให้เป็นผู้ดำเนินงานบริหารสถานีฯ เป็นเวลา 30 ปี (สิ้นสุด 3 ก.ค. 2569)
แต่ช่วง วิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ทางบริษัทขาดทุนอย่างหนัก และต่อมาในเดือนพฤศจิกายน 2543 ธนาคารไทยพาณิชย์ได้ดึงกลุ่มชิน คอร์ปอเรชั่น (ชินคอร์ป) เข้ามาถือหุ้นไอทีวีด้วยวงเงิน 1,600 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 39% ส่วนธนาคารไทยพาณิชย์ได้แปลงหนี้เป็นทุน มีสัดส่วน 55% โดยมอบสิทธิ์การบริหารให้กับชินคอร์ป
ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ เมื่อปี พ.ศ. 2540 บริษัทฯ ขาดทุนอย่างหนัก คณะรัฐมนตรี ในสมัยนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น มีมติเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 อนุมัติให้มีการแก้ไขสัญญาสัมปทาน
ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2543 ธนาคารไทยพาณิชย์ได้ดึงกลุ่มชิน คอร์ปอเรชั่น (ชินคอร์ป) เข้ามาถือหุ้นไอทีวีด้วยวงเงิน 1,600 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 39% แต่ต่อคณะรัฐมนตรีได้มีมติ ให้ยกเลิกสัมปทานจากการประชุมในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 เหตุเพราะไอทีวีไม่สามารถจ่ายค่าปรับและค่าสัมปทานค้างจ่ายได้ และ เปลี่ยนชื่อเป็นสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของ องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย
แต่ถึงแม้ ไอทีวี จะไม่ได้ออกอากาศมา 17 ปี แต่ บริษัทฯไม่ได้จดทะเบียนเลิกกิจการ และสถานะยังเป็นบริษัทยู่ ซึ่ง “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ถือครอง 42,000 หุ้น ตั้งแต่ ปี 2551 – 2566 โดยรับไม้ต่อมาจากบิดาที่เสียชีวิต ซึ่งเจ้าตัวยอมรับแจ้งว่าเป็นหุ้นมรดก และถือในสัดส่วนที่น้อย โดยคิดเป็นแค่ 0.0035% ของหุ้นทั้งหมดเท่านั้น
24 เม.ย. 2566 - นิกม์ แสงศิรินาวิน อดีตผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคภูมิใจไทย เขตคลองสามวา คือผู้เปิดประเด็น ปมหุ้นสื่อ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" โดยได้โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กตนเองว่า “นักการเมืองที่กำลังถือหุ้น ไอทีวี เตรียมตัวประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี และมอบตัว กกต.ด้วยนะครับ หัวหน้าพรรคหนึ่งถือ 42,000 หุ้น” พร้อมโชว์ภาพประกอบรายงานการประชุมผู้ถือหุ้น ไอทีว ประจำปี 2566
26 เม.ย. 2566 -บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จัดประชุมออนไลน์ ในวันที่ 26 เม.ย. 2566 ซึ่งในที่ประชุมนายภาณุวัฒน์ ขวัญยืน ผู้ถือหุ้นสอบถามว่า “ไอทีวี มีการดำเนินการเกี่ยวกับสื่ออยู่หรือไม่” ซึ่ง นายคิมห์ สิริทวีชัย ประธานคณะกรรมการบริษัท ไอทีวี ตอบว่า “ตอนนี้ บริษัทยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ นะครับ ก็รอผลคดีความให้สิ้นสุดก่อนนะครับ”
10 พ.ค. 2566 - เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ ยื่นเอกสารให้ กกต. ตรวจสอบ "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" จากกรณีถือหุ้น ไอทีวี ซึ่งอาจผิดคุณสมบัติห้ามถือหุ้นสื่อสารมวลชน แต่เป็นความผิดส่วนบุคคล ไม่ถึงขั้นยุบพรรค
7 มิ.ย. 2566 - พิธา ชี้แจงว่า กรณีหุ้น ไอทีวี ตนเป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาล ไม่ใช่ผู้โอนหุ้น และมีเอกสารยืนยันชัดเจน
9 มิ.ย. 2566 - กกต. รับเรื่องไว้พิจารณา กกต. มีมติเป็นเอกฉันท์ 6 เสียง ไม่รับคำร้อง ไม่รับคำร้องกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ มีคุณสมบัติลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ แต่รับเรื่องให้พิจารณาเป็นความปรากฏ ให้ตรวจสอบตาม ม. 151 แห่ง พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. เหตุรู้อยู่แล้วว่า ไม่มีสิทธิ์ สมัครรับเลือกตั้ง แต่ยังฝ่าฝืน
11 มิ.ย. 2566 - รายการข่าว 3 มิติ สังเกตความผิดปกติจากการประชุมออนไลน์ของบริษัทไอทีวี วันที่ 26 เม.ย. 2566 เพราะในบันทึกการประชุมที่เป็นแบบลายลักษณ์อักษร กลับระบุว่า “ปัจจุบัน บริษัทยังดำเนินกิจการอยู่ ตามวัตถุประสงค์ของบริษัท และมีการส่งงบการเงินและยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลตามปกติ”
14 มิ.ย. 2566 - ทนายรัชพล ศิริสาคร ยื่นหนังสือให้ กกต. เพื่อคัดค้านการดำเนินการสอบสวน “พิธา” และขอให้ กกต.ความเอาผิดเรืองไกร ร้องเรียนเรื่องเท็จ และในวันเดียวกัน เลขาฯ ป.ป.ช. ยืนยัน “พิธา” เป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาล ก่อนเข้ารับตำแหน่งปี 2562 แต่ยังไม่ยืนยันว่า หุ้นไอทีวี เป็นของนายพิธา 100% หรือไม่ เพราะยังไม่มีรายละเอียด
12 ก.ค. 2566 - กกต.มีมติให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพส.ส.ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส. บัญชีรายชื่อและแคนดิเนตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกลสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 ( 3 )ประกอบมาตรา 101 ( 6 )หรือไม่ จากเหตุมีชื่อถือครองหุ้นสื่อบริษัทไอทีวีจำกัดมหาชนจำนวน 42,000 หุ้น
17 ก.ค. 2566 - เอกสารนัดประชุมศาลรัฐธรรมนูญหลุดว่อนเน็ต โดยมีวาระคือการประชุมพิจารณา เรื่อง กกต.ขอให้วินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ว่า สมาชิกภาพของนายพิธา สิ้นสุดลงหรือไม่ ซึ่งมีการนัดหมายในวันที่ 19 ก.ค. 2566 ซึ่งตรงกับวันที่โหวตนายกรอบสองพอดี หลังจากการโหวตครั้งแรกวันที่ 13 ก.ค. ที่ผ่านมา นายพิธา ได้เสียงสนับสนุนไม่ถึงกึ่งหนึ่งของรัฐสภา
19 ก.ค. 2566 - ศาลรัฐธรรมนูญมีติรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย และสั่ง “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. ทันทีจนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย ซึ่งเจ้าตัวก็ได้ประกาศอำลากลางสภาๆ จนกว่าจะพบกันใหม่
15 ก.ย. 2566 - “พิธา” ลาออกจากพรรคก้าวไกล โดยให้เหตุผลว่าเห็นแก่เรื่องส่วนรวม มากกว่าเรื่องส่วนตัว และเป็นสำนึกของนักการเมือง
20 ธ.ค. 2566 ศาลรัฐธรรมนูญ นัดไต่สวนพยานบุคคล ซึ่งภายหลังการไต่สวน พิธาแสดงความพอใจเพราะกระบวนการเป็นไปตามความคาดหวัง แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เพราะเป็นการละเมิดศาล
21 ม.ค. 2567 พรรคก้าวไกล เผยแพร่ วิดีโอความยาวกว่า 7 นาที เปิดข้อเท็จจริง พร้อมเชื่อมั่นว่า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล จะรอดพ้นจาก คดีหุ้นสื่อ ITV ด้วย หลักฐาน 6 ข้อ ดังนี้
24 ม.ค. 2567 – ศาลรัฐธรรมนูญนัดชี้ชะตา อ่านคำวินิจฉัยตั้งแต่ 14.00น. เป็นต้นไป
ท้ายที่สุด ก็ต้องมาดูกันต่อไปว่า "พิธา" จะได้กลับเข้าสภาในวันที่ 24 ม.ค. 2567 นี้หรือไม่
ซึ่งถ้ารอด พิธา ก็ยังมีอีกหนึ่งคดีใหญ่รออยู่ ซึ่งเกี่ยวกับการ หาเสียงแก้ ม. 112 โดยมีนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 31 ม.ค.67 นี้ด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง