นายกฯ แถลงฯ สถานการณ์ในอิสราเอลอาจรุนแรงขึ้น ขอให้คนไทยพิจารณาแจ้งความประสงค์กลับบ้าน กังวลหากสถานการณ์รุงแรงขึ้นจะอพยพลำบาก ห่วงใยชีวิตประชาชนไทยเป็นอันดับหนึ่ง ย้ำพร้อมช่วยเหลือตัวประกันทุกช่องทางที่ทำได้
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้แถลงข่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์ความรุนแรงในอิสราเอล โดยนายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยสาระสำคัญ ดังนี้
การติดตามสถานการณ์ในวันนี้ การนำคนไทยกลับมาได้ประมาณ 800 คนต่อวันและสามารถเพิ่มขึ้นได้อีก แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ การเปลี่ยนใจไม่เดินทางกลับมา เหตุผลหลักคือทางนายจ้างที่อิสราเอลดึงเรื่องการจ่ายเงินเป็นวันที่ 10 พฤศจิกายน มีการขึ้นค่าจ้างเป็นแรงจูงใจให้แรงงานไทยอยู่ต่อ
ในฐานะนายกฯ เชื่อว่าพูดเรื่องนี้ก็เป็นประเด็น แต่ก็ต้องพูด ถ้าเกิดอยู่ดีๆ วันที่ 10 พฤศจิกายนจะจ่ายเงิน แล้วถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นคุณจะได้ตังค์หรือเปล่า อยากให้พี่น้องแรงงานไทยที่อยู่ในอิสราเอลคิดให้ดีๆว่าแล้วจะคุ้มหรือเปล่า จะโทรหาทูตไทยในอิสราเอลด้วย เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก ไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่ และอย่าเอาเรื่องของเงินมาแลกกับชีวิตคนไทย
ในส่วนของการทหารการต่างประเทศยืนยันตรงกันว่าแม้การถล่มจะเบาบางลง แต่ความเข้มของสงครามไม่ลดลง มีแนวโน้นเพิ่มขึ้นและขยายวงไปบางประเทศใกล้เคียง เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง กังวลว่าจะเลวร้ายลง และมีข่าวว่าจะมีปฏิบัติการภาคพื้นดิน ซึ่งมีข่าวว่าอาจจะเกิดขึ้นในอีก 2-3 วันนี้ โดยขอเตือนพี่น้องคนไทยให้พิจารณากลับประเทศไทย ถ้ามีปฏิบัติการภาคพื้นดินจะทำให้การอพยพยากลำบากขึ้นอีก ซึ่งในส่วนนี้จำเป็นต้องสื่อสารให้ประชาชนทราบ
นายกฯ ได้สั่งการกระทรวงแรงงานให้ดูแลแรงงานที่จะกลับเข้ามา โดยเพิ่มแรงจูงใจ อาจจะเพิ่มค่าแรงจาก 15,000 บาทเป็นจำนวนที่มากขึ้น โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ นายธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นห่วงช่วยคิดถึงการทำงานภายหลังกลับมาประเทศไทยของแรงงานฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานที่เคยทำงานด้านการเกษตร ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง เพราะฉะนั้นการกลับเข้ามา กระทรวงเกษตรฯ อาจมีความต้องการในส่วนของแรงงานนี้ และจะประกาศออกไปให้ทราบว่าถ้ากลับมาก็จะมีงานทำอยู่
เมื่อถามถึงกรณีการช่วยเหลือตัวประกัน นายเศรษฐากล่าวว่า ดำเนินการในทุกช่องทางที่สามารถทำได้ แต่ที่ไม่ลงในรายละเอียดเพราะเป็นเรื่องของความมั่นคง ได้ใช้ทุกช่องทาง การเดินทางไปต่างประเทศได้มีการประสานพูดคุยกับผู้นำ เกือบทุกประเทศที่สามารถทำได้ รวมถึงกษัตริย์ของประเทศโอมาน (รัฐสุลต่านโอมาน) บรูไน และ ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งทุกประเทศทราบดีว่า ไทยไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งหรือคู่กรณี แต่กลับมีการสูญเสียจำนวนมาก และถูกจับเป็นตัวประกันถึง 19 คน
ขณะนี้ยังไม่ทราบชะตากรรมเราได้ทำงานกับทุกช่องทางเพื่อช่วยเหลือตัวประกัน และจะมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของไทย เดินทางไปเจรจาประสานช่วยตัวประกัน เเต่ไม่ขอเปิดเผยว่าไปเจรจาพูดคุยกับใคร
กรณีแรงงานที่เดินทางไปทำงานในอิสราเอลแบบผิดกฎหมายนั้น นายกฯ ย้ำว่า ขอให้แรงงานเหล่านี้อย่ากังวล ถ้าแจ้งว่าจะกลับก็กลับได้ สิ่งสำคัญคือทุกคนต้องเดินทางกลับมาอย่างปลอดภัย ไม่ต้องกังวลหรือกลัวการดำเนินการทางกฎหมาย ขอให้กลับมาก่อน เรื่องอื่นเป็นเรื่องรอง
ส่วนการจัดเตรียมรถรถบัสเพื่ออพยพแรงงานไทยออกจากพื้นที่ต่างๆ ในอิสราเอลนั้น ยืนยันว่า ทางการไทยก็เตรียมแผนรองรับไว้อยู่แล้ว จึงอยากให้แรงงานไทยตัดสินใจให้แน่วแน่ว่าควรกลับ ที่ประชุมได้พูดคุยกับผู้บัญชาการทหารสูงสุดชัดเจนว่า ถ้าเกิดมีเรื่องปฏิบัติการภาคพื้นดินเมื่อไร ถนนถูกตัดขาด ไม่สามารถที่จะลำเลียงออกมาได้ จำนวนเงินเท่าใดก็ไม่คุ้ม ตรงนี้เป็นเรื่องที่เราต้องพูดกัน ตนไม่กลัวดราม่าหรือกระแสตีกลับเพราะว่าเป็นเรื่องที่ต้องพูดกัน
ความจริงก็คือความจริง ถ้าเกิดว่าผมไม่พูดวันนี้และมีอะไรเกิดขึ้น ผมก็จะเสียใจภายหลัง จึงขอพูดวันนี้ดีกว่า และพูดเป็นหนที่ 3 แล้วว่า ถ้าเกิดพ่อแม่พี่น้องที่อยู่ที่นี่ก็ควรที่จะบอกญาติที่ทำงานในอิสราเอลด้วยว่า อย่าเลย กลับมาเหอะ กลับมาประกอบอาชีพของเราใหม่ รัฐบาลจะให้ความช่วยเหลืออย่างสุดกำลังความสามารถของรัฐบาล
ข่าวที่เกี่ยวข้อง