นับเป็นเรื่องที่ช็อกผู้คนที่ติดตามข่าวสารการเมืองเป็นอย่างมาก เมื่อ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เพิ่งออกมาเปิดเผยว่า เขาเหลือเวลาในชีวิตอีกเพียง 8 เดือน เนื่องจากป่วยเป็นมะเร็งตับ และจากนี้ไป เขาขอทำประโยชน์ในวาระสุดท้ายของชีวิต
ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เพิ่งเผยถึงอาการป่วยโรคมะเร็งตับว่า ในระยะเวลา 8 เดือนที่ เขาจะมีชีวิตอยู่นั้น มันจะเป็น 8 เดือนที่ อดีตนักการเมืองดังแห่งยุคหนึ่งสมัยหนึ่งของการเมืองไทย จะใช้ชีวิตทุกๆวันให้มีความสุข ทุกๆวันจะเป็นวันที่เขาได้กำไร ทุกๆวันที่เขาอยู่ก็จะเป็นวันสุดท้ายเสมอ ใน 8 เดือนสุดท้าย
ทั้งนี้ ชูวิทย์ เปิดเผยว่า หมอบอกกับเขาว่า ผู้ที่เป็นมะเร็งตับในระยะที่ 4 หรือก้าวเข้ามาสเต็ปที่ 4 หรือที่เรียกว่า Advanced Stage ก็คือระยะแพร่กระจายนั่นเอง มีคนแนะนำเขาเยอะมากให้ไปหาหมอคนนั้นหมอคนนี้ หรือแม้กระทั่งไปหาต่างประเทศ หรือพระสงฆ์องค์เจ้า แต่เขาก็รู้ดีว่า ไม่มีใครหนีวาระสุดท้ายได้พ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
"นพดล" ฟาดกลับ "ชูวิทย์" แฉเศรษฐา ทวีสิน ปมเอี่ยวเลี่ยงภาษี สกัดเป็นนายกฯ
มหกรรมเลื่อน! รวมเหตุการณ์โรคเลื่อนการเมืองไทย เอะอะอะไรก็เลื่อน
• ประวัติ ชีวิต ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ : จอมแฉ การเมืองไทย
สำหรับ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เกิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2504 ที่จังหวัดสกลนคร แต่เติบโตในย่านเยาวราช เป็นลูกคนสุดท้อง ในจำนวนพี่น้อง 8 คน ของนายเจริญ และนางจำเนียร กมลวิศิษฎ์ ซึ่งบิดามารดาเป็นคนจีน ครอบครัวที่ทำธุรกิจนำเข้าและผลิตเสื้อผ้ายีนส์ยี่ห้อฮาร่า
เส้นทางการศึกษานั้น ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ตามประวัติ เขาจบชั้นประถมศึกษาจาก โรงเรียนสหพาณิชย์ จบมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา และมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนเทพศิรินทร์
จบปริญญาตรี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยเข้าศึกษาต่อ ปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยซานดิเอโก สหรัฐอเมริกา
•เส้นทางเจ้าพ่ออ่าง (ทองคำ)
ทั้งนี้ "ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์" เจ้าของฉายา "เจ้าพ่ออ่าง" และ อดีตนักการเมืองชื่อดังที่ภาพลักษณ์ คาแรกเตอร์ ดุดัน มุทะลุ อยู่ในวงการการเมืองไทยมาเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว
โดย ในช่วงเปลี่ยนผ่าน , หลังจากจบการศึกษา ชูวิทย์ หรือ เฮียชู เบนเข็มมาทำธุรกิจของตัวเอง เช่น สร้างหมู่บ้านจัดสรร และเปิดอาบอบนวด ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในนาม "วิคตอเรียซีเคร็ท" และขยายกิจการ จนเป็นเจ้าของอาบอบนวด 6 แห่ง ในเครือเดวิสกรุ๊ป และก่อตั้งมูลนิธิต้นตระกูลกมลวิศิษฎ์ ให้การสนับสนุนก่อสร้างป้อมที่พักเจ้าหน้าที่ตำรวจตามแยกไฟแดง
จากธุรกิจอาบอบนวด ที่ทำให้เขาเริ่มเกิดความขัดแย้งกับตำรวจ จากการแฉเรื่อง "ส่วย" เป็นเรื่องลับที่ไม่ลับอีกต่อไปนั้น จนได้รับฉายาว่า "เสี่ยอ่าง" หรือ จอมแฉ จนเกิดผลกระทบกับธุรกิจอาบอบนวด ถูกคดีค้าประเวณีเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 18 ปี แต่ศาลสั่งยกฟ้อง เนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ
ชื่อของชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นในปี 2546 ณ เวลานั้นเข้าถูกสปอร์ตไลท์สาดจากทุกมุมในประเทศไทย เมื่อมีกลุ่มชายฉกรรจ์หลายร้อยคน พร้อมรถแบ็กโฮ บุกเข้ารื้อบาร์เบียร์ 60 ร้าน ซึ่งตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 10 ไร่ บริเวณสุขุมวิทสแควร์ ซอยสุขุมวิท 10 โดยการสั่งการในครั้งนี้ คือ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ต้องการขับไล่บาร์เบียร์ที่มาบุกรุกที่ดินของเขา เเละไม่ยอมย้ายออกไป โดยมีนายทหารคนดังในยุคนั้น คือ พ.ท.หิมาลัย ผิวพรรณ และ พ.ต.ธัญเทพ ธรรมธร กลายเป็นจำเลยร่วมไปด้วย
เมื่อปรากฏเป็นข่าวรื้อบาร์เบียร์ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ ไม่กี่วันต่อมา เขาก็ปรากฏตัวข้างถนน ย่านชานเมืองแห่งหนึ่ง ด้วยสภาพอิดโรย มีการนำตัวส่งโรงพยาบาล เมื่อร่างกายเริ่มฟื้นแล้ว ชูวิทย์ได้แฉว่า ถูกตำรวจกลุ่มหนึ่งอุ้มตัวไป
ห้วงเวลานั้น ชูวิทย์ก็ปรากฏเป็นข่าวเป็นระยะ เมื่อเขาเริ่มทำการแฉถึงพฤติกรรมการทุจริตต่าง ๆ ของตำรวจ เช่น การรีดไถ การรับส่วย จึงทำให้เป็นจุดสนใจของสังคมในระยะนั้น และมีการออกมาแฉถึงเรื่องราวการทุจริตต่าง ๆ ในสังคม ทำให้เป็นที่นิยมชมชอบของผู้คนเป็นจำนวนมาก และจากชื่อเสียงที่โด่งดังนี้ทำให้มีผู้สร้างภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาดัดแปลงมาจากชีวประวัติของชูวิทย์อีกด้วย
• ชำแหละเส้นทางการเมือง ชูวิทย์
ทั้งนี้นายชูวิทย์ เริ่มเป็นที่รู้จักในแวดวงการเมือง ในปี 2547 หลังจาก เขา ได้ขายหุ้นในอาบอบนวดทั้งหมด แล้วลงสมัคร ผู้ว่าราชการกทม. แม้ไม่ได้รับเลือกตั้ง แต่ได้คะแนนเสียงกว่าสามแสนคะแนน และได้คะแนนมาเป็นลำดับที่ 3 (โดยอันดับ 1 เวลานั้นคือ อภิรักษ์ โกษะโยธิน และอันดับ 2 คือ ปวีณา หงสกุล ขณะที่ คะแนนอันดับ 4 คือ เฉลิม อยู่บำรุง) ต่อมานายชูวิทย์ได้ก่อตั้งพรรคต้นตระกูลไทย พร้อมนำพรรค เข้าร่วมกับพรรคชาติไทยและรับตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคชาติไทย
จากนั้น ชูวิทย์ ลงสมัครเลือกตั้ง สส. ในปี 2548 และได้รับเลือกเป็น สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทย แต่ต่อมาถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า เป็นสมาชิกพรรคชาติไทยไม่ครบ 90 วัน จึงพ้นจากความเป็น สส.
ต่อมาในปี 2549 ชูวิทย์ได้ยื่นซองขาว ลาออก หันหลังเดินคนละทางกับพรรคชาติไทย เพื่อลงสมัคร สว.กรุงเทพมหานคร แต่ก็ถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพิกถอนสิทธิการลงสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากยังไม่พ้นจากสถานะภาพ สส. ครบกำหนด 1 ปี ตามกฎหมายกำหนด
หลังจากนั้นนายชูวิทย์ ได้ก่อตั้งพรรครักประเทศไทย ในปี 2553 โดยมีนายชูวิทย์ เป็นหัวหน้าพรรครักประเทศไทย ซึ่งมีสโลแกนหาเสียงในขณะนั้นว่า “ฉันรักคุณ” และในการเลือกตั้งปี 2554 นายชูวิทย์ได้แถลงข่าวเปิดตัวพรรค พร้อมประกาศว่าจะเป็นฝ่ายค้านเพื่อตรวจสอบรัฐบาล ซึ่งจากผลการเลือกตั้งครั้งนั้นพรรครักประเทศไทยได้ ส.ส. เข้าสภา 4 คน
ตัดฉากเข้าไปในสภา , ชูวิทย์ ซึ่งอยู่ในสภาในฐานะฝ่ายค้านนั้น เป็นไปอย่างโดดเด่น ได้แสงไปเต็มๆ
โดยเขาได้รับหน้าที่รองประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 พร้อมทั้งมีการเปิดเผยข้อมูล บ่อนการพนัน สถานอบายมุข อันมีผลกระทบต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างมาก จนกระทั่ง ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องออกมาตอบโต้ และมีวาทะพิพาทกันในสภา จนทำให้ทั้งคู่ได้รับฉายาว่าเป็น "คู่กัดแห่งปี" ประจำปี 2555 จากสื่อมวลชน
จากนั้น 8 ธันวาคม 2556 ชูวิทย์ ตั้งโต๊ะแถลงข่าวแนะให้พรรคประชาธิปัตย์ลาออกยกพรรคเพื่อแสดงความจริงใจต่อประชาชน และไปช่วยสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ลาออกไปเป็นแกนนำหลักประท้วงขับไล่รัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
และหากพรรคประชาธิปัตย์ลาออกยกพรรคจริง จะลูกพรรคจะลาออกตาม และเมื่อพรรคประชาธิปัตย์มีมติให้สมาชิกลาออกจากการเป็น สส.ยกพรรค ทำให้นายชูวิทย์ลาออกจากการเป็น ส.ส.ตามที่ได้พูดไว้ทันที
• ชูวิทย์ : ชีวิตในเรือนจำ 2 ครั้ง
ในปี 2559 ศาลฎีกามีคำพิพากษาจำคุก ชูวิทย์ ในคดีรื้อบาร์เบียร์ เมื่อปี 2546 ในข้อหาจ้างวาน ฐานทำให้เสียทรัพย์ บุกรุกในเวลากลางคืน และกักขังหน่วงเหนี่ยวข่มขืนใจให้บุคคลอื่นปราศจากเสรีภาพ โดยศาลพิพากษาให้จำคุกนายชูวิทย์ เป็นเวลา 5 ปี ลดเหลือ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา
และ ในการต้องถูกจองจำครั้งที่ 2 ในชีวิต คือ ในช่วงกลางปี 61 เดือนมิถุนายน , ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ สั่งจำคุก "ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์" จงใจไม่แสดงรายการบัญชีทรัพย์สิน 2 เดือน ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปี รับสารภาพลดโทษ เหลือจำคุก 1 เดือน ไม่รอลงอาญา พร้อมค้านประกันตัวส่งขังเรือนจำทันที
• “จอมแฉ” ที่เป็นเครื่องหมายการค้าไปแล้ว และเวลาที่เหลืออยู่
ในปี 2560 นายชูวิทย์ ประกาศยุติบทบาททางการเมือง โดยสาบานต่อศาลเจ้าพ่อเสือเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิต แต่ยังเคลื่อนไหวผ่านสื่อโซเชียลส่วนตัวอยู่เป็นระยะๆ กระทั่งในปี 2566 ชื่อของนายชูวิทย์ กลับมากลายเป็นที่สนใจอีกครั้งจากการออกมาแฉเรื่องทุนจีนสีเทา จนทำให้เกิดการตรวจสอบธุรกิจของคนจีนที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยอย่างผิดกฎหมายในเวลาต่อมา
และในปี 2566 ช่วงที่มีการเลือกตั้ง ส.ส.เป็นการทั่วไป นายนชูวิทย์ได้ออกมาประกาศตัวต่อต้านนโยบายกัญชาเสรีของพรรคภูมิใจไทยอย่างต่อเนื่อง เรียกได้ว่าเป็นคู่กัดกับ ภูมิใจไทย
และหลังจากเลือกตั้งจบ นายชูวิทย์มีบทบาทในการแฉเรื่องดีลลับทางการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาล พร้อมประกาศภารกิจ "แฉเพื่อชาติ" เป็นครั้งสุดท้าย โดยมีการเปิดเผยว่า เป็นมะเร็งตับระยะที่ 3 ซึ่งต้องทำคีโมตลอด จนหมอบอกเวลาแพร่กระจาย 8 เดือนถึงปีครึ่ง