สืบเนื่องจากเหตุแผ่นดินไหวบริเวณนอกชายฝั่งทางตอนใต้ของประเทศเมียนมา เมื่อเวลา 08.40 น. วันที่ 19 มิถุนายน 2566 ศ.ดร.อมร พิมานมาศ อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และนายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย
ในฐานะนักวิจัยชุดโครงการลดภัยพิบัติจากแผ่นดินไหว ภายใต้การสนับสนุนของกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เปิดเผยว่า จากข้อมูลที่ได้รับ คาดว่าธรณีพิบัติครั้งนี้เป็นแผ่นดินไหวที่เกิดจากรอยเลื่อนสะกาย
ในส่วนที่อยู่นอกฝั่งตอนใต้ของประเทศเมียนมา โดยแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นมีขนาด 6.0 ถือว่าเป็นแผ่นดินไหวขนาดปานกลาง แต่เนื่องจากเกิดที่ระดับความลึกเพียง 10 กิโลเมตร ซึ่งไม่ลึกมาก จึงอาจส่งผลกระทบต่ออาคารและโครงสร้างได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
สำหรับประเทศไทย ตรวจพบการสั่นไหวของอาคารสูงในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เช่น ปทุมธานี จนผู้อยู่อาศัยรู้สึกได้ ซึ่งวิเคราะห์ได้ว่าอาจเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น
1.แผ่นดินไหวเกิดขึ้นในระดับไม่ลึก
2.ระยะห่างระหว่างจุดเกิดเหตุจนถึงกรุงเทพฯ ประมาณ 400-500 กิโลเมตร
3.สภาพชั้นดินของกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นชั้นดินเหนียวอ่อน สามารถขยายคลื่นแผ่นดินไหวให้รุนแรงขึ้น
4.เกิดการกำทอน หรือการสั่นพ้องระหว่างโครงสร้างกับชั้นดิน โดยเฉพาะอาคารสูง จึงเกิดการสั่นสะเทือนมากกว่าอาคารเตี้ย
อย่างไรก็ตาม แผ่นดินไหวครั้งนี้มีขนาดไม่ใหญ่มาก จึงไม่น่าส่งผลกระทบให้โครงสร้างอาคารเสียหายรุนแรง แต่เจ้าของอาคารก็ไม่ควรประมาท หากตรวจพบรอยร้าวหรือการกะเทาะของปูน ซึ่งเป็นสัญญานเตือนภัย ก็ควรให้วิศวกรเข้ามาตรวจสอบในรายละเอียดต่อไป
ส่วนในอนาคตข้างหน้านั้น "รอยเลื่อนสะกาย" อาจสร้างความรุนแรงได้ถึงระดับ 8.0 ซึ่งเป็นระดับที่รุนแรงมาก อาจทำให้โครงสร้างเสียหายมากกว่านี้หลายเท่า จึงต้องเตรียมการโครงสร้างอาคารให้รับมือการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวได้
ศ.ดร.อมร กล่าวด้วยว่า ในแง่ของกฎหมายควบคุมอาคาร มีกฎกระทรวงฯ ปี 2550 และปรับปรุงปี 2564 บังคับให้อาคารต้องออกแบบให้ต้านแผ่นดินไหว แต่ถ้าเป็นอาคารเก่าที่ก่อสร้างก่อนปี 2550 จะมีความเสี่ยงมากกว่า เนื่องจากก่อสร้างมาก่อนที่กฎหมายมีผลบังคับใช้
ดังนั้นเพื่อความไม่ประมาท เจ้าของอาคารเก่าจึงควรจัดหาวิศวกรประเมินและเสริมความแข็งแรงอาคารเพื่อรองรับแผ่นดินไหวที่อาจจะรุนแรงกว่านี้ในอนาคต