"Mae Stephens" ป๊อปสตาร์ เจ้าของเพลงสุดไวรัล "If We Ever Broke Up" ปล่อยซิงเกิลใหม่ "Mr Right" พร้อมชวน "Meghan Trainor" มาร่วมฟีเจอริ่ง
หลังจากศิลปินชาวอังกฤษชื่อดัง "Mae Stephens" (เม สตีเฟนส์) ได้สร้างสีสันบนโลกโซเชียล ด้วยเดบิวต์ซิงเกิลอย่าง "If We Ever Broke Up" ที่เป็นไวรัลไปทั่วทั้งโซเชียล ทำให้เธอกลายเป็นศิลปินที่เปิดตัวซิงเกิลเดบิวต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปีนี้ เพราะมียอดสตรีมมิ่งกว่า 350 ล้านสตรีม
ล่าสุด Mae Stephens กลับมาพร้อมซิงเกิลใหม่ล่าสุด "Mr Right" ครั้งนี้เธอยังมีโอกาสได้ร่วมงานกับไอดอลในวัยเยาว์ของเธออย่าง "Meghan Trainor" โดยมาพร้อมคอนเซ็ปต์สุดคูล ผสมกลิ่นอายของดิสโก้-ป็อปที่พาทุกคนไปเต้นรำในค่ำคืนแห่งซัมเมอร์นี้ เพลงนี้เล่าถึงเด็กสาวที่สามารถเลือกทิ้งผู้ชายที่ไม่ใช่ ให้ออกไปจากชีวิต และมูฟออนไปเลือกคนที่เหมาะสมกับตัวเองได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
โดย Meghan Trainor เผยถึงศิลปินรุ่นน้องว่า
"ฉันรู้สึกเป็นเกียรติมากที่มีส่วนร่วมในการทำเพลงนี้ เพราะฉันเป็นแฟนคลับตัวยงของเธอ และตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ตอนที่ทีมของ Mae Stephens ติดต่อมาว่าเราจะได้ร่วมงานกัน ฉันรู้สึกเหมือนว่าเธอคือน้องสาวของฉัน เธอเหมือนเป็นศิลปินในตำนาน ทั้งๆ ที่อายุยังน้อยอยู่ ฉันอดใจไม่ไหวแล้วที่จะให้คนทั้งโลกได้เห็นความสามารถ และพลังเสียง เพราะ Mae Stephens คือผู้หญิงที่เปี่ยมไปด้วยความรัก พรสวรรค์ และเธอสมควรได้รับการซัพพอร์ตจากทุกคนบนโลกนี้"
ขณะด้าน Mae Stephens ได้บอกความในใจด้วยว่า
"จริงๆ แล้ว Meghan Trainor คือ Role Model ของฉัน การได้มาทำงานร่วมกับเมแกน มันเหมือนกับฝันที่เป็นจริง ครั้งนี้ยังเป็นครั้งแรกที่ฉันได้ร่วมงานกับศิลปินชื่อดัง แต่เมแกนไม่ทำให้ฉันเกร็งแม้แต่นิดสำหรับการร่วมงานครั้งนี้ เธอเป็นคนที่ใจดี และเป็นโรลโมเดลในการทำเพลงของฉัน ขอบคุณนะเมแกน"
สำหรับ Mae Stephens กลายเป็นป๊อปสตาร์คนใหม่ที่ร้อนแรงที่สุดในวงการเพลง นับตั้งแต่เปิดตัวซิงเกิล "If We Ever Broke Up" ที่เป็นไวรัลบน TikTok เมื่อต้นปีที่ผ่านมา โดยซิงเกิลดังกล่าวมียอดสตรีมมิ่งมากกว่า 350 ล้านสตรีมจากทั่วทุกมุมโลก
รวมถึงมียอดสตรีมมากถึง 132 ล้านครั้งบน Spotify และมียอดวิวทั้งหมด 3.3 ล้านวิวบน YouTube ปัจจุบัน Mae Stephens ยังมียอดผู้ฟังมากกว่า 10 ล้านคนต่อเดือนบน Spotify และแทร็กของเธอยังได้รับรางวัลยอดขายระดับ Silver ในสหราชอาณาจักร และกำลังจะได้รับรางวัลยอดขายระดับ Gold ในสหรัฐฯ เร็วๆ นี้
นอกจากนี้เธอยังได้ขึ้นเล่นในงานเทศกาลระดับโลกอย่าง "Glastonbury Festival" ตามมาด้วยการเล่นเปิดให้กับศิลปินเคป็อปชื่อดังอย่าง "BLACKPINK" และยังมีงานอื่นๆ อีกมากมายที่เธอจะได้ขึ้นแสดงในซัมเมอร์นี้
เพลงสุดไวรัล "If We Ever Broke Up" ไม่ได้สร้างไวรัลเพียงแถบตะวันตกเท่านั้น เพราะซิงเกิลนี้ยังดังไกลไปถึงแถบเอเชีย จนสามารถขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตของประเทศจีน มียอดสตรีมมากถึง 27 ล้านสตรีมต่อสัปดาห์ และยังมีกระแสต่อเนื่องไปถึงประเทศญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
มีศิลปินให้ความสนใจกับคอนเทนต์ของซิงเกิลนี้มากมายทั้ง "ITZY" และ "ENHYPEN" ก็ยังร่วมทำคอนเทนต์จากซิงเกิลนี้ กระทั่งนิตยสารชื่อดังอย่าง NME ได้พูดถึงเพลงนี้ว่า "เนื้อหาที่มีเลศนัย ทำให้เพลงของ Mae Stephens น่าสนใจมากขึ้นจากท่อน If we ever broke up, I’d never be sad ด้วยเสียงทำนองที่ติดหู พร้อมจังหวะเพลงอันโดดเด่น หวนชวนให้นึกถึงเพลงอันรุ่งเรืองของ Blu DeTiger การันตรีได้เลยว่ายังไงแทร็กนี้ ก็ต้องดังพลุแตกอย่างแน่นอน"
ก่อนที่ Mae Stephens จะตื่นขึ้นและพบว่าเพลงของเธอกำลังโด่งดังไปทั่วโซเชียล เธอเคยค้นพบบางสิ่งในขณะที่กำลังทำงานที่ร้าน Asda นั่นคือการใช้เสียงดนตรีในการปลอบโยนตนเองระหว่างที่กำลังทำเพลง จนทำให้เธอเป็นนักแต่งเพลงตั้งแต่อายุ 12 ปี และเธอได้ใช้ดนตรีในการนำทางในเส้นทางชีวิตของเธอ ผ่านความยากลำบากในชีวิตวัยรุ่น
"ฉันเคยเป็นเด็กที่ขี้โมโห และมันทำให้ฉันเครียดมาก โดยเฉพาะเมื่อกลับจากโรงเรียน ฉันพยายามอย่างมาก เพื่อหาสิ่งที่จะช่วยปลดปล่อยความเครียด นอกเหนือจากการอยู่กับพี่ชาย ฉันได้ลองทำสิ่งต่างๆ ทั้งเล่นยูโด สกี ขี่จักรยาน จนกระทั่งได้ลองแต่งเพลง เพียงแค่นั่งลง ปิดประตู อยู่คนเดียวในห้อง มีพื้นที่ให้นั่งคิด และปลดปล่อยอารมณ์ออกมา สิ่งๆ นี้น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันผ่านช่วงชีวิตในวัยเรียนไปได้"
การถูกกลั่นแกล้งที่โหดร้ายในชีวิตวัยเรียนของเธอไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อเพื่อนร่วมห้องของ Mae Stephens พบช่อง YouTube ที่เธออัปโหลดผลงานของตัวเองลง จนทำให้ได้รับความเกลียดชังมากมาย แต่เธอก็สามารถก้าวผ่านความเลวร้ายนี้มาได้จากดนตรี และพี่ชายที่ช่วยเยียวยาจิตใจของเธอ และทำให้เธอมีความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปข้างหน้า และพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาคิดผิดที่เคยดูถูกเธอ