ความนิยมที่เพิ่มขึ้นมากมายของ พรรคก้าวไกล ภายใต้การคุมบังเหียนของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะมีเอฟเฟกต์อย่างไร กับ พรรคเพื่อไทย ที่ตั้งเป้าแลนด์สไลด์ คำเดียวเท่านั้น ทั้ง 2 พรรคจะจับมือเป็นรัฐบาล หลังการเลือกตั้ง 2566 ได้หรือไม่ ?
กระแสความร้อนแรงทะลุองศาเดือดของ ก้าวไกล ถือว่าดีมาก ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง 2566 ความนิยมที่เพิ่มขึ้นมากมายของก้าวไกล ภายใต้การคุมบังเหียนของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะมีเอฟเฟกต์อย่างไร กับ พรรคเพื่อไทย ที่ตั้งเป้าแลนด์สไลด์ คำเดียวเท่านั้น ลองมาดู เหตุผล ก้าวไกล ถึงมาแรง ช่วงตัดสินใจ โค้งสุดท้าย ก่อนเลือกตั้ง 2566 รวมถึงปัจจัยอะไร ที่จะทำให้ เพื่อไทย-ก้าวไกล เดินไปด้วยกันได้ต่อ
เปิดเหตุผล ก้าวไกล ถึงมาแรง ช่วงตัดสินใจ โค้งสุดท้าย ก่อนเลือกตั้ง 2566
1. ความชัดเจนของพรรคก้าวไกล
เนชั่นการเมืองวิเคราะห์ ย้อนกลับไปก่อนวันเลือกตั้ง 2566 พรรคก้าวไกล ประกาศจุดยืนทางการเมืองชัดเจน ด้วยการยืนยันว่า จะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรัฐประหาร หรือ “พรรคทหารจำแลง” ซึ่งนั่นหมายถึง พรรครวมไทยสร้างชาติ ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ พรรคพลังประชารัฐ ของ บิ๊กป้อม - พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แล้วยิ่งมีข่าวสะบัดเรื่องดีลลับ การจับมือตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ระหว่าง พรรคเพื่อไทย กับ พรรคพลังประชารัฐ ที่เหมือนเคมีจะไม่เข้ากัน แม้ก่อนหน้านี้ พรรคเพื่อไทย จะปฏิเสธเรื่องดีลนี้ แต่ก็ตอบไม่ชัดในประเด็นที่ว่า จะจับมือร่วมรัฐบาลกับ พลังประชารัฐ หรือไม่ ? อย่างไรในอนาคต
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เมื่อ พรรคเพื่อไทย ถูกสาดรัวคำถามแบบหนักๆ ทางแกนนำพรรคอย่าง “ภูมิธรรม เวชยชัย” ก็ได้มีการแถลงข่าวด้วยท่าทีขึงขัง ว่า “พรรคเพื่อไทย” ยังไม่ได้จับมือกับพรรคใดล่วงหน้าก่อนการเลือกตั้ง เพราะตั้งเป้าแลนด์สไลด์เท่านั้น แต่เมื่อขอคำตอบชัดๆ ที่ยืนยันว่า จะไม่จับมือกับ “พลังประชารัฐ” อย่างแน่นอน 100 % เขาก็โยนภาระให้กับประชาชน ที่ต้องเลือกเพื่อไทยให้แลนด์สไลด์ ต่อมาเมื่อกระแสของ ก้าวไกล ดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีแผ่ว โดยเฉพาะในช่วงโค้งสุดท้าย ก่อนเลือกตั้ง 2566 ทาง “พรรคเพื่อไทย” ก็ได้มีการปรับเกมกะทันหัน โดยแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค ทั้ง แพทองธาร ชินวัตร” กับ “เศรษฐา ทวีสิน” ก็ได้ประกาศบนเวทีปราศรัย ยืนยันไม่จับมือตั้งรัฐบาลกับ “พรรคพลังประชารัฐ” อย่างแน่นอน
2. ความอึมครึม ไม่ชัดเจนของพรรคเพื่อไทย
ไม่เพียงแต่ในประเด็นความไม่ชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาลเท่านั้น แต่ “พรรคเพื่อไทย” ได้สร้างความเคลือบแคลงสงสัย มีความอึมครึมราวกับมีเมฆหมอกฝนบังตา และยังมีเครื่องหมายคำถาม ให้กับสังคมในหลายๆ เรื่อง จาก “ความไม่ชัดเจน” หลายๆ ครั้งเข้า ก็ค่อยๆ กลายสภาพเป็น “ความไม่จริงใจ”
กรณี ล่าสุดก็คือ การที่ พี่โทนี่ ทักษิณ ชินวัตร ออกมาโพสต์ในโลกออนไลน์ แสดงความดีใจหลังจากได้หลานคนที่ 7 เมื่อวันแรงงานที่ผ่านมา โดย “ทักษิณ” ระบุว่า จะกลับมาเลี้ยงหลานในเดือนกรกฎาคมนี้ แม้ที่ผ่านมาเขาจะพูดถึงการกลับเมืองไทยอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่เฉลยสักที ว่าจะกลับยังไง จะยินยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ? หรือใช้ช่องทางพิเศษ อย่างกฎหมายนิรโทษกรรม ฉบับสุดซอย ที่เคยทำให้ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” พังมาแล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อปลายปีที่แล้ว “นพ.ชลน่าน ชลแก้ว” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกมาเคลื่อนไหวแบบเล่นใหญ่ ยื่นเรื่องขอแก้รัฐธรรมนูญ ต้องกำหนดให้นายกฯ เป็น ส.ส. แต่เมื่อการเลือกตั้งมาถึง “พรรคเพื่อไทย” กลับเลือกกระทำตรงกันข้ามกับสิ่งที่ตัวเองเรียกร้อง
3. ก้าวไกล : พลิกจุดอ่อน เป็นจุดแข็ง
เนชั่นการเมืองวิเคราะห์ ว่า แม้ในช่วงเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ในช่วงรัฐบาลประยุทธ์ พรรคก้าวไกล จะได้รับการประเมินว่า ทำหน้าที่ฝ่ายค้านได้อย่างดีเยี่ยม สมราคา แต่ก็มักถูกพรรคอื่นสบประมาทว่า ไม่มีประสบการณ์ในการบริหารประเทศ ไม่มีประสบการณ์ในการเป็นรัฐบาล ดังนั้น ประเด็น ประสบการณ์ จึงกลายเป็นจุดอ่อนของ พรรคก้าวไกล ที่แม้หลายคนที่ชื่นชอบในแนวทางของพรรค แต่ก็ไม่มั่นใจว่า ถ้า พรรคก้าวไกล ได้เป็นรัฐบาล จะทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมเหมือนกับตอนที่เป็นฝ่ายค้านหรือไม่
แต่ “พรรคก้าวไกล” ก็จับประเด็นนี้มาพลิกจาก “จุดอ่อน” ให้กลายเป็น “จุดแข็ง” ได้อย่างเหนือชั้น ยกตัวอย่างการขึ้นเวทีดีเบต ของ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ผู้ช่วยหาเสียงของพรรค ที่ถูกโจมตีอย่างหนักในเรื่องประสบการณ์
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ จึงตั้งคำถามกลับว่า ตอนนี้ประเทศมีปัญหาเรื้อรังมากมายที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ ซึ่งหลายคนบนเวทีดีเบตนี้ ก็ล้วนมีประสบการณ์ในการเป็นรัฐบาลทั้งสิ้น แต่ที่ผ่านมาก็แก้ปัญหาไม่ได้ มีเพียง “พรรคก้าวไกล” ที่ยังไม่เคยมีโอกาสได้เข้าไปทำหน้าที่ตรงนั้น และถ้าหากได้เป็นรัฐบาล “พรรคก้าวไกล” อาจทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมเหมือนตอนเป็นฝ่ายค้าน แก้ปัญหาต่างๆ ให้ลุล่วงไปได้
หรือในกรณีของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ได้ให้สัมภาษณ์กับ 3 บก. เครือเนชั่น ว่า ในโลกยุคใหม่ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นโรคอุบัติใหม่ อย่าง โควิด-19 หรือในเรื่องเทคโนโลยีต่างๆ ที่ทุกคนไม่เคยมีประสบการณ์ด้วยกันทั้งสิ้น จึงต้องมาเรียนรู้กันใหม่เหมือนๆ กันทั้งหมด นั่นหมายความหมายก็คือ ตรงนี้อาจะเป็นจุดแข็งของ “พรรคก้าวไกล” ด้วยซ้ำ เพราะมี “คนรุ่นใหม่” ที่เข้าใจโลกยุคใหม่ รวมถึงวิถีชีวิตแบบใหม่ๆ เป็นจำนวนมาก
• ประเมินแนวโน้มหลังการเลือกตั้ง 2566 ก้าวไกล-เพื่อไทย จับขั้วกันได้หรือไม่ ?
คราวนี้มาถึงหัวใจสำคัญของเรื่องนี้ ก้าวไกล-เพื่อไทย จับขั้วกันได้หรือไม่ ? ในการเลือกตั้ง 2566 ครั้งนี้ก็มีการประเมินตั้งแต่ช่วงต้นๆ ว่า พรรคที่ได้ ส.ส. มากที่สุด คือ “พรรคเพื่อไทย” แต่ไม่แลนด์สไลด์ 310 ที่นั่ง ตามที่วาดหวังเอาไว้ โดยเพื่อไทยน่าจะได้ตัวเลขจะอยู่ที่ประมาณ 220 คน
ในขณะที่ “พรรคก้าวไกล” (พรรคอนาคตใหม่) ที่การเลือกตั้งครั้งก่อนได้ ส.ส. จำนวนมาก ส่วนหนึ่งก็เนื่องจากอานิสงส์ของบัตรเลือกตั้งใบเดียว และการคำนวณ ส.ส.พึงมี โดยระบบบัตรใบเดียว จะนำคะแนนการเลือกตั้งทั้งหมด ไม่ว่าจะสอบได้หรือสอบตกในเขตต่างๆ มาคำนวณหาจำนวน ส.ส. พึงมีของแต่ละพรรค ทำให้ในการเลือกตั้งครั้งนั้น พรรคก้าวไกล (พรรคอนาคตใหม่) ได้ ส.ส. เขต และ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ รวมกันสูงถึง 81 คน เป็นอันดับที่ 3 ของประเทศ
แต่ในการเลือกตั้ง 2566 ครั้งนี้ ได้มีการเปลี่ยนระบบเป็นบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ และใช้สูตรคำนวณหา ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ หาร 100 ในช่วงต้นๆ ทำให้มีการประเมินว่า ด้วยระบบการเลือกตั้งที่เปลี่ยนไป และความร้อนแรงของแพทองธาร จึงเป็นเรื่องยากที่ “พรรคก้าวไกล” จะได้ ส.ส. เป็นจำนวนมากเหมือนกับการเลือกตั้งครั้งก่อน
แต่นานวันเข้า กระแสของ พรรคก้าวไกล ร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะช่วงโค้งสุดท้าย รวมถึงความฮอตของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” จนทำให้ “พรรคเพื่อไทย” นิ่งเฉยไม่ได้ ยิ่ง “พรรคก้าวไกล” ได้ ส.ส. มากขึ้นเท่าไหร่ “พรรคเพื่อไทย” ก็จะยิ่งได้ ส.ส. น้อยลงไปเท่านั้น อันเนื่องมาจากมีฐานเสียงเดียวกัน แต่ถึงกระนั่นก็ตามที เมื่อประเมินแนวโน้มแบบองค์รวม ทั้ง ส.ส.เขต และปาร์ตี้ลิสต์ ก็ยังมีความเป็นไปได้ ที่ “พรรคเพื่อไทย” จะได้ ส.ส. มากที่สุด แต่จำนวนอาจลดน้อยลงตามไปด้วย ซึ่งส่งผลต่อ “อำนาจต่อรอง” ในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลของ “พรรคเพื่อไทย”
โดยยุทธ์ศาสตร์ แผน 1 ของ “พรรคเพื่อไทย” ก็คือ ต้องได้ ส.ส. แลนด์สไลด์ 250 คนขึ้นไป เพื่อสร้างความชอบธรรมในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
แต่หาก อนาคตที่จะเกิดขึ้นอันใกล้นี้ ว่า “พรรคเพื่อไทย” ได้ตัวเลข ส.ส.เขต และปาร์ตี้ลิสต์ อยู่ที่ประมาณ 200 คน ถ้าจะเป็นรัฐบาล ก็ต้องมองข้ามช็อตไปถึงการโหวตเลือกนายกฯ ที่ต้องได้เสียง ส.ส. + ส.ว. 376 คนขึ้นไป
และสมมติต่อไปว่า หาก พรรคเพื่อไทย ยึดสัญญาประชาคม จากการเลือกตั้ง 2566 คือจะจับมือกับพรรคขั้วเดียวกันก่อน (อาจมีพรรคตัวแปรมาเพิ่ม) ไม่จับมือ “พรรคพลังประชารัฐ” กับ “รวมไทยสร้างชาติ” ซึ่งโดยลำพังคะแนนเสียงของ “เพื่อไทย” บวกกับ “ก้าวไกล” รวมถึง “พรรคเล็ก” ในขั้วฝั่งประชาธิปไตย ยังไงๆ ก็เกิน 250 เสียง
แต่ปัญหามันอยู่ที่ ช่วงของการเลือกนายกฯ ที่ต้องได้คะแนนเกิน 376 เสียง โดยไฮไลต์สำคัญอยู่ที่เสียงของ ส.ว. ทั้ง 250 คน ซึ่งถ้าประเมินกันจากพื้นฐานความเป็นจริงที่ผ่านมา ก็เป็นเรื่องยากที่จะมี ส.ว. จำนวนมากจะเทคะแนนให้กับแคนดิเดตนายกฯ ของฝั่ง “พรรคเพื่อไทย” กับ “พรรคก้าวไกล” จนได้คะแนนรวมเกิน 376 เสียง
แต่ถ้าเป็นกรณี พรรคเพื่อไทย ร่วมกับ พลังประชารัฐ ที่ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” มีคอนเนคชั่น กับ ส.ว. จำนวนไม่น้อย โดยไม่มี พรรคก้าวไกล ก็เป็นหนทางเดียวที่ทำให้ พรรคเพื่อไทย มีโอกาสได้เป็นรัฐบาล
แต่ด้วยอำนาจต่อรองที่น้อยลง เพราะ เพื่อไทย ไม่แลนด์สไลด์ 310 เสียง ก็มีแนวโน้มว่า หากเลือกโมเดล “เพื่อไทย + พลังประชารัฐ” อาจต้องยกตำแหน่งนายกฯ ให้กับ "บิ๊กป้อม"
ข้างต้นก็เป็นเพียง ความเป็นไปได้ ความน่าจะเป็นที่มีโอกาส เกิดขึ้น เท่านั้น ซึ่งจะว่าไปแล้ว หาก “พรรคเพื่อไทย” เลือกแนวทางบวกกับ “พรรคก้าวไกล” อย่างไรก็เกิน 250 เสียง (บวกพรรคเล็ก พรรคตัวแปร) สามารถเป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพได้ และหากยึดโมเดลนี้ ถ้า "พรรคเพื่อไทย" ได้ ส.ส. มากที่สุดในการเลือกตั้ง ก็มีความชอบธรรมอย่างเต็มที่ในการจัดตั้งรัฐบาล แล้วค่อยไปวัดกันอีกที ตอนโหวตเลือกนายกฯ พิสูจน์ให้คนทั้งประเทศได้เห็นอย่างชัดเจนกันจะๆ อีกครั้งว่า ส.ว. มีไว้ทำไม! จะทำตามเจตจำนงฉันทามติของประชาชนหรือไม่ ?
ที่มา NATION