รวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ชูนโยบายแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องคนไทยหลายด้าน เล็งเปิดนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปเสรี ทำราคาน้ำมันในประเทศถูกลง ช่วยคนมีรายได้น้อย-เกษตรกรใช้ไฟฟ้าแค่ยูนิตละ 3.90 บาท พร้อมแจงบัตรสวัสดิการพลัสทำได้จริง-ถูกกฎหมาย ประชาชนได้ประโยชน์เต็มร้อย
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงนโยบายการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน โดยเฉพาะการทำมาหากิน และเศรษฐกิจปากท้อง ว่า พรรครวมไทยสร้างชาติเห็นความสำคัญเรื่องความมั่นคงด้านเศรษฐกิจของประชาชนทุกกลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มมีความต้องการที่แตกต่างกัน จะต้องมีการวางรากฐานเพื่อให้คนกลุ่มต่างๆ สามารถอยู่ต่อได้ในภาวะค่าครองชีพปัจจุบัน โดยหาแนวทางว่าทำอย่างไรจะสามารถลดค่าครองชีพให้กับประชาชน แบบเป็นไปได้
ส่วนกรณีพลังงานที่มีราคาแพง และเรื่องราคาน้ำมันนั้น พรรคมีแนวคิดว่าจะให้มีการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปแบบเสรีได้ ทำให้ราคาน้ำมันในประเทศถูกลงได้ เนื่องจากน้ำมันเป็นสินค้าคอมมูนิตี้ หากนำเข้ามาเท่าไร ก็เพียงดูว่าจะขายเท่าไร หากรวมไทยสร้างชาติได้เป็นรัฐบาล หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสาธารณูปโภค ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน หรือไฟฟ้า ก็จะต้องทำตามนโยบายของรัฐอยู่แล้ว เช่น ค่าไฟฟ้า จะมีการกำหนดราคาให้กับผู้มีรายได้น้อย หรือเกษตรกร ที่ใช้ไฟในการดำเนินชีวิต หรือทำมาหากินเพื่อแบ่งเบาภาระ และช่วยลดต้นทุนให้ โดยมีการคำนวณมาแล้วจะอยู่ที่ประมาณ ยูนิตละ 3.90 บาท เป็นนโยบายของรัฐบาลพรรครวมไทยสร้างชาติ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
'มิ่งขวัญ' ชู 'นโยบายพลังประชารัฐ' 'ลดค่าไฟฟ้า' ครัวเรือน-ภาคการผลิต
ชาวเน็ตเตือนเช็กบิลค่าไฟเดือนเม.ย.66 ‘บิ๊กตู่’ ลั่นโครงสร้างค่าไฟซับซ้อน
สำหรับกรณีบัตรสวัสดิการพลัส ถูกเปรียบเทียบกับนโยบายการแจกเงินดิจิทัลนั้น นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ปกติจะไม่ออกมาตอบโต้อยู่แล้ว แต่เมื่อถูกถามก็จำเป็นจะต้องตอบว่า ดิจิทัลที่บอกว่าจะแจก 10,000 บาท ไม่ใช่เงินจริงแต่บัตรสวัสดิการพลัส ที่ต่อยอดมาจากบัตรลุงตู่จะได้เดือนละ 1,000 บาท 1 ปีจะได้ 12,000 บาท มากกว่าเงินดิจิทัล 2,000 บาท ถ้า 4 ปีก็จะได้ถึง 48,000 บาท ซึ่งเป็นเงินจริงๆ นอกจากนี้ยังเป็นบัตรที่เป็นหลักประกันได้อีก เมื่อเดือดร้อนฉุกเฉินสามารถกู้ยืมเงินจากธนาคารของรัฐได้ถึง 10,000 บาท ถ้ารวมแล้วบัตรนี้จะช่วยเหลือประชาชนได้ถึง 58,000 บาท และที่สำคัญที่สุดคือนี่คือเงินจริง ๆ ที่ประชาชนจะได้รับ
“นโยบายของพรรคทำตามสิ่งที่ทำมาแล้ว เวลาเราบริหารประเทศก็จะมีเงินได้ที่ทยอยมาไม่ใช่อยู่ดีๆ จะเอาเงินงบประมาณมาทีเดียวหมด ของเราเป็นไปตามเงื่อนไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเงินการคลังและวินัยทางการเงินของประเทศ เพราะ 8 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้วางรากฐานจนมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และระบบการเงินแล้ว ดังนั้นเราจึงรู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป เพื่อจะให้ประชาชนได้ประโยชน์ด้วย ไม่เสียวินัยทางการเงินการคลังและไม่กระทบภาวะเศรษฐกิจของประเทศ และที่สำคัญที่สุดคือความเชื่อมั่นของต่างชาติที่มีกับเงินบาทและเศรษฐกิจไทย”