ย้อนคำพูด โป๊งเหน่ง เชิญยิ้ม เล่าสูบบุหรี่-ซดเครื่องดื่มชูกำลังเยอะจนป่วย

ยังคงเป็นความสูญเสียที่หลายคนใจหายและสะเทือนใจ สำหรับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของ "โป๊งเหน่ง เชิญยิ้ม" ดาวตลกผู้มีเอกลักษณ์ ที่เสียชีวิตอย่างสงบในวัย 59 ปี ด้วยภาวะโรคไตวายและโรคแทรกซ้อนอื่นๆ เมื่อช่วงดึกวันที่ 10 ก.ค.2565 หลังจากป่วยหนักและต่อสู้มานานหลายปี

โดยทางด้าน "เฮงเฮง เชิญยิ้ม" ลูกชายแท้ๆ ของโป๊งเหน่ง ได้เปิดเผยกับ "เดลินิวส์" ว่า "พ่อรักแม่มาก เมื่อแม่มาเยี่ยม และหลังจากแม่กลับไป ชีพจรพ่อก็อ่อนลงและจากไปอย่างสงบ" นับเป็นอีกหนึ่งความสูญเสียครั้งใหญ่ของวงการตลกไทย มีเพื่อนพ้องออกมาโพสต์ข้อความร่วมอาลัยกันอย่างล้นหลาม

ทั้งนี้หากย้อนไปเมื่อช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ปี 2562 โป๊งเหน่ง เชิญยิ้ม เคยควงภรรยาสุดที่รัก ไปออกรายการดัง "คุยแซ่บSHOW" ซึ่งบางช่วงของรายการนั้น โป๊งเหน่งได้เล่าถึงเรื่องที่ทำให้ภรรยาเสียใจ จนถึงทุกวันนี้ ใจความว่า

"เรื่องสูบบุหรี่ คือไม่อยากทำให้เขาเสียใจ ผมสูบมาตั้งแต่อายุ 11 ตอนนี้ 54 แล้วยังเลิกไม่ได้ ผมให้สัญญากับเขาว่าจะเลิกบุหรี่ ถ้าเธอให้ลูกผู้หญิงน่ารักๆ ก็คือลูกสาวคนที่ 5 แต่เราก็ผิดสัญญา จนตอนนี้ลูกอายุ 24 ปีแล้ว มีหลายครั้งที่พยายามเลิก มีไปบำบัด ไปนู้น ไปนี่ มันก็ชนะใจตนเองไม่ได้"

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

• ประวัติ โป๊งเหน่ง เชิญยิ้ม จากลิเก สู่ตลกในตำนาน ก่อนจากไปด้วยวัยเพียง 59 ปี

• ลูกชาย โป๊งเหน่ง เชิญยิ้ม เผยพ่อไม่ทรมานแล้ว เล่าความลับที่ไม่เคยบอกพ่อ

• โป๊งเหน่ง เชิญยิ้ม ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ลูกชายบอกหมอให้ทำใจแล้ว

"ตอนแรกก็อยากให้เลิกเพื่อลูก แต่ตอนนี้ไม่สบาย เราก็เลยอยากเลิก ก็ถึงขนาดเข้าโรงพยาบาล แล้วก็ผอมมาก เพราะว่าปอดทะลุ 5 รู ตอนนั้นก็ดื่มเครื่องดื่มบำรุงกำลังวันละ 5-6 ขวด เพื่อที่จะได้มีแรง เพราะผมถ่ายละครหนักมาก มันก็เลยทำให้ปอดทะลุเป็นรู ซึ่งเรื่องที่พูดมา เป็นสิ่งไม่ควร อย่าไปทำแบบนั้น เพราะพอปอดเป็นรู ทำให้พูด-ร้องเพลงไม่ได้ เนื่องจากลมออกปอดหมด"

"ถามว่ากระทบกับงานไหม 'เป็ด เชิญยิ้ม' มีความเมตตาให้ไปเล่นตลก ก็เขียนเรื่องไปให้เล่น เป็นตัวพ่อ ไม่สบายนั่งรถเข็น เดินยังไม่ไหว ต้องนั่งวีลแชร์" ด้านภรรยาบอก "เขาก็ไม่เลิก แบบว่าถ้าเขาไม่สบาย เราคิดว่าชีวิตเราอยู่คนเดียวไม่ได้ไง เขาทำให้เราทุกอย่าง แม้แต่เสื้อผ้า เขาก็หยิบให้เรา อีกอย่างสุขภาพเขาไม่ดี ไม่อยากให้เขาจากไปก่อน อยากอยู่กับเขาแบบนี้ จนแก่ตายกันไปข้างหนึ่ง"