"หมอธีระ" แจงสาเหตุ 2 ปัจจัยสำคัญ "โอไมครอน" สายพันธุ์ย่อย BA.5 แพร่เชื้อทั่วโลกไว พบอัตราการครองเตียง รพ.เอกชน สูงขึ้น ย้ำการใส่หน้ากากป้องกันเป็นสิ่งสำคัญ
กรณีเชื้อกลายพันธ์ BA.4-BA.5 ณ ขณะนี้ กระทรวงสาธารณสุขและกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ปัจจุบันมีรายงานว่าผู้ติดเชื้อสายพันธุ์นี้ส่วนมากจะเป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ มีการพบการติดเชื้อในประชากรไทยบ้าง แต่เป็นสัดส่วนที่น้อยกว่ามาก โดยสายพันธุ์ที่มีการแพร่ระบาดในประเทศไทยปัจจุบันยังคงเป็นสายพันธุ์โอไมครอน
ด้าน รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat ประเด็น สถานการณ์การแพร่ระบาด "โอไมครอน" โดยระบุว่า
Omicron BA.5 นั้นแพร่ระบาดทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากสองปัจจัยสำคัญคือ
หนึ่ง ความแข็งแรงของไวรัส (Viral fitness) ที่มากกว่าทุกสายพันธุ์ที่เคยระบาดมาก่อน โดยมีสมรรถนะการขยายวงการระบาดเร็วขึ้น (growth advantage) และหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้มากขึ้น (immune evasion) ในขณะที่ความรุนแรงของโรค (severity) นั้น แม้ปัจจุบันจะยังไม่มีข้อมูลมากพอที่จะฟันธง แต่หลายประเทศที่โดน BA.5 ระบาดมากนั้นก็พบว่าทำให้มีผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมากขึ้นอย่างชัดเจน
แม้ว่าทั่วโลกจะได้มีการฉีดวัคซีนไปมากพอสมควรแล้วก็ตาม แต่ด้วยความสามารถในการหลบภูมิคุ้มกันจากวัคซีนที่ฉีด และภูมิจากการที่เคยติดเชื้อมาก่อน ทำให้พบการติดเชื้อมากขึ้นอย่างมากทั้งในคนที่ไม่เคยติดมาก่อน รวมถึงคนที่เกิดการติดเชื้อซ้ำ (Reinfection)
ด้วยเหตุผลข้างต้น จึงไม่แปลกใจที่มีหลายฝ่ายยกให้ BA.5 เป็นศัตรูที่น่ากลัวกว่าทุกสายพันธุ์ที่มีมา
สอง ทั่วโลกมีการผ่อนคลายมาตรการ เสรีการเดินทางและการใช้ชีวิต หลายประเทศไม่ได้เน้นให้ประชาชนป้องกันตัวระหว่างการใช้ชีวิต จึงทำให้เกิดการระบาดปะทุรุนแรงดังที่เห็นในปัจจุบัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
• หมอมานพ เผยโอไมครอน ติดซ้ำได้ใน 20 วัน ชี้ติดแล้วไม่ต้องรอฉีดวัคซีน 3 เดือน
• ศบค. เผยยังไม่ปรับมาตรการรับมือโอไมครอน BA.4-BA.5
• แพทย์เตือน! โอไมครอน BA.5 ร้ายกาจ ระบาดไว หลบภูมิคุ้มกันเก่ง ติดซ้ำได้บ่อย
สิ่งที่จะเป็นปัญหาระยะยาวคือ ภาวะ Long COVID ซึ่งจะบั่นทอนคุณภาพชีวิต สมรรถนะการใช้ชีวิตและการทำงาน รวมถึงเป็นภาระค่าใช้จ่ายทั้งต่อผู้ป่วย ครอบครัว และสังคม
...สำหรับสถานการณ์ของไทย
ข้อมูล ณ 7 กรกฎาคม 2565
อัตราการครองเตียงในสถานพยาบาลภาครัฐในกรุงเทพมหานครนั้นอยู่ราว 40.36% (ครองเตียง 1,043 จากทั้งหมด 2,584 เตียงในทุกสังกัด)
แต่อัตราการครองเตียงในสถานพยาบาลภาคเอกชนสูงถึง 74.6% (ครองเตียง 2,121 จากทั้งหมด 2,842 เตียง)
ทั้งนี้หากดูภาคเอกชน จะพบว่าเตียงระดับ 1 สำหรับผู้ป่วยอาการน้อยนั้นครองเตียงถึง 96.7% (1863/1916)
จะเห็นได้ว่ามีผู้ติดเชื้อจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้เข้าระบบการดูแลรักษาของภาครัฐด้วยเหตุผลต่างๆ
แม้จะมีข่าวว่า ตัวเลขติดเชื้อที่รวมคนที่มาใช้บริการเจอแจกจบอยู่ราว 30,000 คนต่อวัน
แต่ด้วยข้อมูลโดยอ้อมจากลักษณะการเข้ารับบริการรักษาในโรงพยาบาลที่มีจำนวน และสัดส่วนในเอกชนสูงกว่ารัฐอย่างชัดเจนนั้น ทำให้เราต้องฉุกคิดว่า สถานการณ์การติดเชื้อจริงที่เกิดขึ้นในแต่ละวันนั้นคงต้องมากกว่าที่มีรายงานในระบบ ทั้งคนที่พอมีพอกิน ติดเชื้อแล้วรักษาเองตามที่ต่างๆ หรือคนที่มีปัญหาเศรษฐกิจ ติดเชื้อแล้วไม่สามารถเข้าสู่ระบบการรักษาได้ด้วยข้อจำกัด เช่น ความจำเป็นที่จะต้องทำมาหากิน การลางาน ค่าเดินทาง ภาระทางครอบครัว ค่าใช้จ่ายอื่นๆ
ใส่หน้ากากนะครับ สำคัญมาก
ที่มา : Thira Woratanarat