จับตาโควิด-19 สายพันธุ์ BA.4-BA.5 ครองไทยกว่า 51.7% แล้ว แต่ยังไม่พบความรุนแรงเพิ่ม แนะฉีดเข็มกระตุ้นภูมิ เฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยง 608 ยันยังไม่พบ BA.2.75 ในประเทศ
วันนี้ (4 ก.ค. 65) ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงข่าว การเฝ้าระวัง โควิด19 สายพันธุ์ BA.4-BA.5 หลังจากมีการระบาดของ BA.4-BA.5 จากการตรวจทุกสัปดาห์ พบว่า ปัจจุบัน "โอมิครอน" ครอบคลุมทั่วประเทศแล้ว ขณะที่เดลต้าหายไปเกือบหมด เป็นโอมิครอน 100%
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการตรวจสัดส่วนสายพันธุ์ย่อย โอไมครอน ระห่างวันที่ 25 มิ.ย. – 1 ก.ค. 65 จากกลุ่มตัวอย่าง 948 ราย พบว่า
B.1.1.529 จำนวน 2 ราย
BA.1 จำนวน 10 ราย 1.1%
BA.2 จำนวน 447 ราย 47.3%
BA.4 / BA.5 จำนวน 489 ราย 51.7%
นพ.ศุภกิจ เผยว่ามีการถอดรหัสพันธุกรรม โดยใช้เวลารู้ผลราว 1 สัปดาห์ พบว่า ปัจจุบัน BA.4 / BA.5 มีประมาณเกือบ 1,000 ราย ในประเทศไทย แต่ตัวเลขดังกล่าวไม่มีความหมาย เพราะต้องดูสัดส่วนจริงๆ มากกว่า หากสัดส่วนเยอะจากสายพันธุ์หนึ่ง แสดงว่ากำลังเบียดสายพันธุ์เก่าออกไป
เมื่อดูสัดส่วนของกลุ่มตัวอย่างภายในประเทศที่สุ่มตรวจสายพันธุ์ และแยกสายพันธุ์ย่อย โอมิครอน ระหว่าง 25 มิ.ย. – 1 ก.ค. 65 กลุ่มตัวอย่าง 173 ราย พบว่า
BA.4 / BA.5 ราว 35.8%
แยกเป็น
กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ จำนวน 44 ราย มี BA.4 / BA.5 สัดส่วน 29.5%
กลุ่มลักษณะอื่นๆ ที่สงสัยไวรัสสายพันธุ์ใหม่ เช่น ค่า CT ต่ำกว่าปกติ หมายถึงเมื่อติดเชื้อแล้วเชื้อเยอะ จำนวน 19 ราย มี BA.4 / BA.5 สัดส่วน 36.8%
กลุ่มที่มีอาการรุนแรง ใส่ท่อช่วยหายใจ และ/หรือ เสียชีวิตทุกราย จำนวน 11 ราย มี BA.4 / BA.5 สัดส่วน 36.4%
"ในเบื้องต้นเท่าที่มีข้อมูลวันนี้ ยังไม่ปรากฏว่า BA.4 / BA.5 มีความรุนแรง กว่า BA.1 BA.2 เดิมอย่างเห็นได้ชัด ตัวเลขกลุ่มตัวอย่าง 11 ราย ต่ำเกินไป วันนี้ขอความร่วมมือ รพ. ที่มีผู้ป่วยโควิด-19 ใส่ท่อช่วยหายใจ ให้ส่งตัวอย่างมาตรวจเพิ่มขึ้นหากตัวอย่างมากขึ้น ข้อมูลทางสถิติก็จะแม่นยำมากขึ้น"
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
นายกฯ ชื่นชมคนไทย สมัครใจสวมหน้ากากอนามัย แม้สั่งผ่อนคลายแล้ว
หมอยง แนะฉีดวัคซีน Covovax เข็ม 3 หลังฉีดเชื้อตาย 2 เข็ม ช่วยกระตุ้นภูมิได้สูง
ศบค. จ่อถกปรับโรคประจำถิ่น 8 ก.ค. สธ.รับแนวโน้มป่วยโควิดพุ่ง ยังรองรับได้
นพ.ศุภกิจ กล่าวสรุปว่า สถานการณ์ BA.4-BA.5 ในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากสัดส่วนกว่า 51.7% แล้ว และจะค่อยๆ เบียดตัวเก่าออกไป เหมือนโอมิครอน เบียดเดลต้า หรือ BA.2 ค่อยๆ เบียด BA.1 และ BA.4-BA.5 ก็จะค่อยๆ เบียดไป
ขณะที่ ความรุนแรง BA.4-BA.5 ข้อมูลยังไม่มากพอ ต้องติดตามต่อไป ว่าผู้ที่อาการหนักใส่ท่อช่วยหายใจ ปอดอักเสบ หรือแม้กระทั่งเสียชีวิตมีสัดส่วน BA.4-BA.5 ต่างจากคนติดเชื้อทั่วไปหรือไม่
"ขณะเดียวกัน มาตรการส่วนบุคคล ใส่หน้ากาก ล้างมือ หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด ฯลฯ ยังมีความจำเป็น แม้จะไม่ได้บังคับแล้ว แต่ขอให้เป็นสุขนิสัยส่วนบุคคล เชื่อว่าทุกคนมีประสบการณ์ใส่หน้ากากมา 2 ปีกว่า ช่วยให้เป็นหวัดน้อยลงหรือไม่ หากคำตอบคือ ใช่ แสดงว่าอุปกรณ์ชิ้นนี้จะช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ ดังนั้น อยากให้ดำเนินการอย่างเข้มข้น"
ขณะที่ การฉีด วัคซีนเข้มกระตุ้น เพื่อให้ภูมิคุ้มกันสูงมากพอ ยังมีความจำเป็นโดยเฉพาะกลุ่ม 608 และผู้ที่ได้รับเข็มสุดท้ายมานานแล้ว (เกิน 4 เดือน) เพราะเวลาผ่านไปภูมิคุ้มกันจะลดลงและสู้กับพันธุ์ใหม่ๆ ได้ลดลง ดังนั้น ขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนใหม่ ต้องฉีดเข็มกระตุ้นให้สูงขึ้น เพื่อต่อสู้กับเชื้อสายพันธุ์ใหม่ๆ ได้
"ตอนนี้มีตัวอย่างสายพันธุ์ BA.5 อยู่ในสต็อก และอยู่ระหว่างเพาะเชื้อให้มากพอและนำมาทดสอบ กับวัคซีนที่ฉีดไปว่าตกลงสู้กันได้มากน้อยแค่ไหน ดังนั้น ข้อแนะนำขณะนี้ คนที่ได้ 2 เข็มไม่พอ ต้องฉีดเข็มกระตุ้น และฉีดเข็ม 3 นานแล้ว ให้กระตุ้นภูมิให้สูงขึ้น"
อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า ขออย่าเพิ่งตกใจ เราอาจเห็นข้อมูลการนอน รพ. มากขึ้น เนื่องจากการติดเชื้อเพิ่มขึ้น BA.4-BA.5 หลบภูมิได้บ้าง และคนที่เคยเป็นแล้วก็อาจจะเป็นซ้ำได้ เมื่อแพร่เร็วขึ้น ก็อาจจะทำให้การติดง่ายขึ้นดังนั้น วันนี้อาจจะเห็นคนไป รพ. เยอะขึ้น แต่สัดส่วนต้องดูก่อนว่าเป็นสาเหตุจาก BA.4-BA.5 หรือไม่ หรือมาจากการเพิ่มจำนวนของผู้ติดเชื้อ เหมือนตอนที่โอมิครอนมาใหม่ๆ คนติดเชื้อเยอะ ก็มีคนอาการหนักมากขึ้น
ขณะที่ สถานการณ์ผู้ป่วยโควิด-19 ในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นนั้น หากเชื้อไม่รุนแรงแต่ทำให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น จำนวนคนคนไข้หนักก็จะเพิ่มขึ้นเป็นตรรกะพื้นฐาน วันนี้เราพยายามพิสูจน์ว่า BA.4-BA.5 ที่อาจจะแพร่เร็วขึ้น ตกลงทำให้อาการหนักด้วยหรือไม่ และมาตรการอาจจะต้องเพิ่มเติม
"วันนี้ต้องพิสูจน์ก่อน ในเบื้องต้นยังไม่เห็นว่ากลุ่มตัวอย่างที่อาการหนัก 11 ราย ไม่ได้มีสัดส่วน BA.4-BA.5 แตกต่างไปจากคนทั่วไป ดังนั้น ต้องพิสูจน์อีกระยะ เพื่อให้ได้ข้อมูลชัดว่า นอกจากติดเชื้อเพิ่มขึ้น ตัวมันเองยังทำให้เกิดความรุนแรงด้วยหรือไม่"
จากคำถามที่ว่า การระบาด BA.4 / BA.5 ที่ระบาดในตอนนี้ ส่งผลต่ออาการป่วยหรือไม่ และกลุ่มไหนที่น่ากังวล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า เป้าหมายเฝ้าระวังยังเป็นกลุ่ม 608 เหมือนเดิม เพราะโอมิครอน ระยะหลัง แทบจะไม่มีอาการ ป่วยไม่กี่วัน ก็หายดี แต่แน่นอนว่าในกลุ่มภูมิคุ้มกันที่ไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อได้ตามปกติ อาจจะทำให้เกิดปัญหาได้ง่ายขึ้น อย่างที่รณรงค์กันว่าหากลดความเสี่ยงรับเชื้อได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนควรจะทำ และในกลุ่มที่ยังได้วัคซีนภูมิไม่สูงพอ ถึงเวลาก็ต้องเพิ่มภูมิคุ้มกัน และหากกลุ่มที่มีโรคเรื้อรังก็ต้องระมัดระวังเพิ่มขึ้น
ขณะที่ อาการ BA.4 / BA.5 โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่ อัลฟ่า เดลต้า อาการไม่สามารถนำมาใช้แยกสายพันธุ์ได้ เพียงแต่ว่าเป็นลักษณะทั่วไปของการติดเชื้อไวรัส บางคนติดเชื้อ BA.4 / BA.5 ก็ยังสบายดีไม่มีอาการอะไร ดังนั้น ยังไม่มีข้อมูลหนักแน่นพอที่จะบอกว่าอาการต่างกันด้วยประเด็นใด
จากข้อกังวลของ สายพันธุ์ BA.2.75 ที่พบในอินเดีย สหรัฐ และ สหราชอาณาจักรนั้น อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า BA.2.75 อย่างที่เคยเรียนไปเมื่อสัปดาห์ สายพันธุ์ที่ต้องจับตาดู (VOC-LUM) ไม่ได้มีเฉพาะ BA.4 / BA.5 แต่มี BA.2.1 , BA.2.2 และอื่นๆ ราว 6 ตัว
หาก BA.2.75 ดูแล้วมีปัญหามากขึ้น WHO ก็จะจัดให้อยู่ใน VOC-LUM เช่นกัน แต่ตอนนี้ยังไม่ได้จัด และมีรายงานเพียง 60 ตัวอย่างเท่านั้น ยังน้อยเกินไป เราเห็นลักษณะของการกลายพันธุ์เช่น สไปรท์โปรตีน มีการกลายพันธุ์เพิ่มขึ้นเยอะ หรือการกลายพันธุ์ในบางตำแหน่ง แต่อย่าเพิ่งกังวล เพราะไทยและ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีการพูดคุยกับนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก และเฝ้าระวังในประเทศ โดยการถอดรหัสพันธุกรรมสัปดาห์ละไม่น้อยกว่า 500 ตัวอย่าง เพราะฉะนั้น หากเจอในไทยจะสามารถตรวจพบได้ ดังนั้น BA.2.75 ยังไม่พบในไทยแต่ยังเฝ้าระวังต่อไป