เก็บทุกไฮไลท์จากงาน Apple Event อย่าง WWDC อัพเดท iOS, iPadOS และ MacOS ใหม่ พร้อมเปิดตัวชิป M2 ใน MacBook Air และ MacBook Pro 13 นิ้ว
หลังจากที่ห่างหายไปสักพักกับ Apple Event 2022 กับงานแรกตั้งแต่เมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2022 ผ่านมาเกือบ 3 เดือน ก็มาถึง Apple Event ที่ 2 ของปี กับงาน Apple Worldwide Developers Conference หรือ WWCD ที่จัดตั้งแต่วันที่ 6 - 10 มิ.ย. โดยภายในงานเกือบทั้งหมดเกี่ยวข้องกับการอัพเดท iOS , iPadOS และ MacOS ที่ฉลาดล้ำขึ้นอย่างมาก นอกจากนี้ Apple ยังเน้นไปที่การเชื่อมต่อและแชร์ข้อมูลให้สะดวกมากยิ่งขึ้น
เปิดด้วยการอัพเดท iOS 16 ตัวใหม่ ที่ให้คุณสามารถปรับแต่งหน้าจอ Lock Screen ได้อย่างอิสระและเป็นตัวเองมากยิ่งขึ้น ด้วยการเลือกรูปล็อกหน้าจอที่ทุกคนสามารถทำได้อยู่แล้ว แต่ในครั้งนี้ สามารถเลือกฟอนท์ สี และ Widget ได้อย่างอิสระ เรียกได้ว่าหน้าจอ Lock Screen ของ Apple ดูไปแล้วแทบไม่ต่างจากหน้าปกนิตยสารเลยทีเดียว
มาต่อกันที่ Messages ที่ตอนนี้สามารถแก้ไขข้อความที่ผิด หรือยกเลิกข้อความด้วย Undo Send ได้แล้ว รวมไปถึงการมาร์คทุกข้อความเป็น Unread เพื่อกลับมาอ่านอีกครั้งในยามที่มีเวลาว่าง
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง :
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ฉลาดมากขึ้น คือ Dictation ให้คุณสามารถเขียนข้อความได้ง่าย ๆ ด้วยการพูดใส่ ด้วยครั้งนี้เราสามารถสลับไปมาระหว่างการใช้เสียงและการพิมพ์ได้อย่างง่ายดาย รวมไปถึงการแก้ประโยคผิดด้วยการพูด
นอกจากนี้จะไม่พูดถึงไม่ได้กับแอปพลิเคชั่น Wallet ที่ต้องขอบอกว่าดีมาก ๆ แต่น่าเสียดายที่ประเทศไทยยังใช้งานไม่ได้ โดย Wallet ก็เป็นเสมือนกระเป๋าตังดิจิทัลที่ทำให้เราสามารถจับจ่ายสินค้าได้ทั่วไปโดยไม่เสียค่าใช้บริการ แต่ครั้งนี้มาฟีเจอร์ใหม่ ApplePay Later ที่ทำให้แบ่งจ่ายสินค้าได้ 0% สูงสุด 4 ครั้ง ภายใน 6 สัปดาห์ โดยไม่คิดดอกเบี้ยและไม่มีค่าบริการเช่นกัน
สิ่งหนึ่งที่ผู้คนมักแชร์กันมากที่สุดคงหนีไม่พ้น "รูปภาพ" ทาง Apple รู้ว่าภายในคลังรูปของเราจะเต็มไปด้วยรูปต่าง ๆ อาทิ รูปชีวิตส่วนตัว งาน งานอดิเรก การบ้าน หรืออะไรก็ตาม แต่จะมีรูปที่เวลาครอบครัวใช้ร่วมกัน อย่างเวลาไปทริปท่องเที่ยวภาพความทรงจำไม่ได้มาจากกล้องเพียงกล้องเดียว แต่มาจากหลายกล้องรวมกันประกอบเป็นความทรงจำที่สมบูรณ์ของทริปนั้น จึงเป็นที่มาของ iCloud Shared Photo Library ที่จะมาเติมเต็มช่องว่างความทรงจำอย่างไร้รอยต่อ ซึ่งสามารถแชร์ต่อให้ผู้อื่นได้อีกถึง 5 บุคคล
Apple ไม่ลืมใส่ใจเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลลูกค้า และเพื่อเป็นการป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้จากความรุนแรงในครอบครัวและชีวิตคู่ ด้วยการออกเครื่องมือใหม่อย่าง Safety Check ทำให้สามารถตัดการแชร์ข้อมูลสำคัญต่าง ๆ รวมถึงการระบุตำแหน่งให้กับบุคคลอื่น โดยเราสามารถเลือกที่จะแชร์ข้อมูลต่าง ๆ ให้กับใครได้บ้างอย่างอิสระ รวมถึงแอปพลิเคชั่นใดบ้างที่จะได้รับข้อมูลของเรา ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับองค์กรต่าง ๆ ที่ช่วยเหลือเหยื่อจากความรุนแรง
และมาถึงไฮท์ไลท์ที่สุดของงานนี้ Apple เปิดตัวชิปใหม่ M2 ที่เป็นการยกระดับชิปเก่า M1 ขึ้นไปอีก(หลาย)ขั้น ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาไปที่การรีดประสิทธิภาพออกมาให้ได้สูงที่สุดและประหยัดการใช้พลังงานมากที่สุด M2 ถือเป็นเทคโนโลยี 5 นาโนเมตรรุ่นที่สอง โดย M2 ทำงานได้ดีกว่า M1 ถึง 18% ในขณะที่ประหยัดพลังงานกว่า 75%
ซึ่งทาง Apple ได้ให้ MacBook Air กับ MacBook Pro 13 นิ้ว เป็นตัวประเดิมชิป M2
MacBook Air ถือเป็นแลปท็อปที่ขายดีที่สุดของ Apple ในครั้งนี้ MacBook Air มีขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ด้วยขนาด 13.6 นิ้ว และมีรอยบากเหมือนกับ MacBook Pro 14 นิ้ว และ MacBook Pro 16 นิ้ว หรือหน้าจอ iPhone รุ่นใหม่ ๆ ด้วยขนาดความหนาเพียง 11.3 มิลลิเมตรตลอดทั้งเครื่องซึ่งหนักเพียง 27 ปอนด์ (1.2 กิโลกรัม)
และที่สำคัญมาก ๆ จนถึงมากที่สุดคือ MagSafe กลับมาแล้วเพื่อให้มั่นใจได้ว่าเครื่อง MacBook Air ของคุณจะปลอดภัยขณะชาร์ตอยู่ พร้อมกับสีสันให้เลือกด้วยกันถึง 4 สี ได้แก่ สีเงิน (Silver) , สีเทา (Space Gray) ซึ่งเป็น 2 สีเดิมที่มีให้เลือกอยู่แล้ว กับอีก 2 สีใหม่ที่สวยงามมากกับ สีทอง (Starlight) , สีเทาดำ (Midnight)
ราคาเริ่มต้นของ MacBook Air อยู่ที่ 1,199 ดอลลาร์ (41,200 บาท) ในขณะที่ประเทศไทยสนนราคาที่ 43,900 บาท และราคาเพื่อการศึกษาถูกลงหนึ่งร้อยดอลลาร์ เหลือเพียง 1,099 ดอลลาร์ (37,800 บาท) ในไทยอยู่ที่ 40,400 บาท
ต่อกันที่ MacBook Pro 13 นิ้ว ซึ่งใช้ชิป M2 เช่นเดียวกับ MacBook Air เปิดราคาที่ 1,299 ดอลลาร์ (44,700 บาท) แต่ในไทยขายที่ 46,900 บาท และ 43,900 บาท สำหรับราคาส่งเสริมการศึกษา
โดยทั้ง MacBook Air และ MacBook Pro 13 จะถึงมือลูกค้าในเดือนหน้า
สุดท้ายที่ Apple อัพเดทคือ iPadOS 16 ด้วยการเชื่อมต่อเราเข้ากับผู้อื่นมากขึ้น เชื่อมโลกยุคโควิด-19 ให้ใกล้ชิดกว่าเดิม การทำงานและประชุมจากบ้านได้ผลดีกว่าเดิม พร้อมเปิดแอปพลิเคชั่นใหม่ที่ถือว่าเด็ดมากคือ Freeform ที่สามารถใช้ร่วมกับผู้อื่นระหว่างที่โทร Facetime อยู่ ด้วยการแชร์หน้ากระดานร่วมกัน เหมือนกับการใช้ไวท์บอร์ดในห้องประชุมเพื่อให้การเบรนสตรอมผ่านหน้าจอมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะสามารถใช้ร่วมกับ iPhone และ Mac ได้ด้วย
น่าเสียดายที่ทาง Apple ยังไม่เปิดตัว RealityOS หรือ ระบบปฏิบัติการสำหรับชุดอุปกรณ์ VR ของบริษัทที่คาดการณ์กันว่าอาจจะเปิดตัวในงาน WWDC ครั้งนี้ สุดท้ายคงต้องติดตามกันต่อไปว่าในงาน Apple Event 2022 อีกหนึ่งครั้งที่ยังเหลืออยู่ช่วงท้ายของปีที่มักมาในเดือนกันยายนซึ่งจะเปิดตัว iPhone 14 ที่กำลังจะมาถึงนี้ จะมีการเปิดตัว RealityOS ด้วยหรือไม่