น.ส.วทันยา บุนนาค (มาดามเดียร์) จี้รัฐทบทวนงบปี 66 ผลักดัน Soft Power ไทยสู่เวทีโลก ยกตัวอย่าง "มิลลิ" กินข้าวเหนียวมะม่วงโชว์บนเวทีเทศกาลดนตรี Coachella สร้างโอกาสให้ประเทศเพียงใด พร้อมเสนอแนวทางใช้กองทุนสื่อดัน Soft Power ไทย
น.ส.วทันยา บุนนาค หรือ มาดามเดียร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ อภิปราย ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 วงเงิน 3.185 ล้านล้านบาท ว่า ขณะที่เรากำลังพิจารณาร่างงบนี้ ท่ามกลางความผันผวนของโลกที่ใกล้จะเกิดขึ้นและความท้าทายที่โลกกำลังเผชิญอยู่ เราจะใช้ยุทธศาสตร์อะไรในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจประเทศ ยอมรับว่า วิกฤตโควิด-19 ทำให้ภูมิทัศน์และพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งประเทศทั่วโลกกำลังเข้าสู่ยุค GIG Economy โดยหนึ่งในนโยบายช่วงหลังที่มีการพูดถึงบ่อยครั้งจนติดปาก คือ "ซอฟท์ พาวเวอร์" (Soft Power) เข้ามาพลิกฟื้นเศรษฐกิจ แต่ที่สำคัญ เรามียุทธศาสตร์และเป้าหมาย แผนการทำงานที่เป็นรูปธรรมอย่างไร เพื่อให้เกิดการแข่งขันขึ้นจริง
หลังจากที่ศึกษางบปี 66 ตั้งข้อสังเกตว่า การทำงานเรื่อง Soft Power ของภาครัฐแบบต่างกระทรวง ต่างคน ต่างทำ ใช้งบกระจัดกระจาย ไม่มีแผนการทำงานที่ชัดเจน ว่า เรากำลังจะทำอะไร ทำอย่างไร และทำไปเพื่ออะไร จึงขอนำเสนอให้ภาครัฐพิจารณาทบทวนการใช้งบประมาณ ในการสร้างเศรษฐกิจด้วย Soft Power ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเด็นหลัก ได้คือ
1. ทำความเข้าใจ "Soft Power" ให้ถูกต้อง ตรงกันก่อน เพราะหากเข้าใจผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อน เราจะจัดแผน นโยบาย และวางยุทธศาสตร์ คลาดเคลื่อนไปด้วย คำว่า Soft Power หากแปลตรงตัวคือ "อำนาจละมุนละม่อม" ในการที่ส่งอิทธิพล
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง :
หากจะสร้างความเข้าใจ Soft Power ขึ้นมาใหม่ อาจพูดได้ว่า "ตัวแทนของสื่อ หรือกระบวนการสื่อสารที่สามารถส่งอิทธิพลในการเปลี่ยนแปลงความคิด และทัศนคติผู้อื่น" โดยถือเป็นหนึ่งอาวุธที่สำคัญในการผลักดัน Soft Power ของคนไทย เพื่อเปลี่ยนวัฒนธรรมไทย ให้กลายเป็นสินค้านำส่งสายตาคนทั่วโลก หรือการสร้างมูลค่าเพิ่มทางการตลาด คือ การพัฒนาอุตสาหกรรมสื่อ ศิลปะ และบันเทิง ที่สามารถเข้าถึงผู้คนได้ง่ายและหลากหลายที่สุด ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่ทุกประเทศใช้ความสำคัญในการสร้างตลาดให้กับตนเอง
ทั้งนี้ ขอยกตัวอย่าง เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา กรณีนักร้องหญิง "มิลลิ" กินข้าวเหนียวมะม่วงระหว่างโชว์บนเวที Coachella การกินเพียงครั้งเดียวได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของ Soft Power ให้ไทยกับคนทั้งโลก แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือ กลุ่มคนที่ได้อานิสงส์ เช่น กลุ่มเกษตรกรที่ปลูกมะม่วง ชาวนาที่ปลูกข้าว หรือแม้แต่ร้านขายข้าวเหนียวมะม่วง หากเรามีแบบนี้ 10 คน 50 คน ไปพูดถึงสินค้าต่าง ๆ อัตลักษณ์ของประเทศ เหมือนที่วันนี้เราซื้อเหล้าโซจูในร้านสะดวกซื้อ เพราะตัวละครในซีรีส์เกาหลีทุกเรื่องต้องดื่มโซจู หรือบะหมี่กึ่งสำเร็จในไทยก็ถูกตีตลาดด้วยรามยอน
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การผลักดัน Soft Power ไทยให้สำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม จุดเริ่มต้นสำคัญคือ รัฐต้องหันกลับมาให้ความสำคัญกับสื่อ ศิลปะ และบันเทิง ให้มีความเข้มแข็งเสียก่อน เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว การสร้างสรรค์ผลงานที่ต้องใช้ความชำนาญ พรสวรรค์เฉพาะด้าน เช่น การสร้างนักร้องศิลปิน การสร้างงานเพลง ภาพยนตร์ ซีรีส์ การออกแบบกราฟฟิกดีไซน์ จะเกิดขึ้นได้ยาก เพราะขาดต้นทุนทางด้านบุคลากร เงินทุนในการสร้างสรรค์ผลงาน และขาดตลาดที่จะแข่งขันเพื่อพัฒนาคุณภาพ
2. กำหนดหน่วยงานรับผิดชอบอย่างชัดเจนเพื่อโฟกัสเฉพาะจุด และ จัดทำแผนระยะยาวเพื่อนำไปสู่เป้าหมายได้สำเร็จ ยกตัวอย่างการจัดตั้ง Korean Film Council (Kofic) พร้อมการจัดตั้งกองทุนของเกาหลี คือการประกาศวิสัยทัศน์ของรัฐบาลเกาหลีที่เอาจริงเอาจังในด้านนี้ พร้อมกับกำหนดบทบาทความรับผิดชอบที่ชัดเจน ไม่ให้เกิดความสับสน โดยให้ Kofic ดูแลแผนงานและสนับสนุนเงินทุนให้เอกชนเพื่อนำไปสร้างผลงานคุณภาพ ให้อุตสาหกรรมนี้มีความเติบโตยิ่งขึ้น พร้อมกับการพัฒนาทุนมนุษย์ เพื่อป้อนคนมีความรู้ความสามารถเข้าสู่อุตสาหกรรม
ในขณะที่อุตสาหกรรมบันเทิงไทยทุกวันนี้ งบการเงินบริษัทเอกชน เพียงแค่ดูจากกราฟเห็นได้ชัดว่า รายได้มีแนวโน้มถดถอยลง ประกอบกับสภาวะที่ยากลำบากเพราะต้องต่อสู้กับวิกฤตดิจิทัลดิสรัปที่เกิดขึ้น โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ผลงานของไทยอยู่ในลักษณะมูฟออนเป็นวงกลม หรือย่ำอยู่กับที่ และเมื่อเราประกาศเรื่อง Soft Power ก็ไม่มีหน่วยงานใดเข้ามารับผิดชอบอย่างชัดเจน ที่ดูน่าจะเกี่ยวข้องมากที่สุดเห็นจะเป็นกระทรวงวัฒนธรรม แต่จากการพิจารณางบประมาณได้แต่เกิดคำถามว่า งานที่เกิดขึ้นในกระทรวงนี้จะผลักดันให้เกิดขึ้นได้อย่างไร
3. สนับสนุนเงินทุนสร้างเอกชนให้เข้มแข็ง เพื่อที่จะได้นำไปใช้พัฒนาคุณภาพบุคลากร และคุณภาพงานต่อไป แต่จากงบกระทรวงวัฒนธรรม จำนวน 6,747 ล้านบาท เมื่อจำแนกแยกย่อยออกมาเป็นหน่วยงานภายในสังกัด เช่น กรมการศาสนา กรมศิลปากร กรมส่งเสริมวัฒนธรรม รวมถึงกองทุนต่าง ๆ จะเห็นว่างบประมาณกว่า 90% ถูกนำไปใช้ในเชิงรักษาอนุรักษ์วัฒนธรรม ศิลปะเดิมของประเทศ แต่งบประมาณที่จะนำใช้เพื่อต่อยอดในอนาคตกลับมีน้อยมาก
โครงการทั้งหมดภายใต้กระทรวงวัฒนธรรมมีเพียงโครงการเดียวที่เกี่ยวข้องกับ Soft Power มากที่สุด เห็นจะเป็น "โครงการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรม ภาพยนตร์และวีดิทัศน์" ซึ่งมีงบอยู่ 40 ล้านบาท เท่านั้น เพราะฉะนั้นคงไม่ต้องพูดว่าภารกิจปั้นเศรษฐกิจไทยโตสู่ระดับโลก ในการสร้างสรรค์ผลงานต่าง ๆ นี้จะทำให้สำเร็จได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม เข้าใจว่าทุกวันนี้ภาครัฐมีภาระใหญ่ในการดูแลประชาชน หลังจากวิกฤตโควิด-19 การใช้งบต้องรอบคอบ แต่เรายังมีเงินกองทุนอยู่จำนวนมาก ที่นำมาพัฒนาและผลักดันอุตสาหกรรมนี้ได้ คือ "งบกองทุนสื่อสร้างสรรค์" ที่ทุกวันนี้มีงบบประมาณเฉลี่ยปีละ 600 ล้านบาท รวมถึงกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) ของ กสทช. ที่เอกชนส่งรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่าย 2.5% ให้ กสทช. ทุกปี กองทุนนี้มีเงินทุน ณ สิ้นปี 64 อยู่ที่ 64,376 ล้านบาท
เงินจำนวนมากเหล่านี้ถูกเก็บไว้ไม่ได้นำออกมาใช้ในการเสริมสร้างศักยภาพของประเทศให้เกิดการพัฒนาขับเคลื่อน และงบที่ขอเข้าไปในกองทุนนี้ยังถูกนำไปใช้อย่างกระจัดกระจาย จึงไม่สามารถเห็นผลที่ชัดเจนได้ เหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ หากเรานำเงินของกระทรวงวัฒนธรรม และกองทุนสื่อเหล่านี้ ตลอดจนงบจัดอีเวนท์ของกระทรวงต่าง ๆ มากองรวมกัน เราจะมีงบมากพอที่จะปักหลักยุทธศาสตร์เพื่อผลักดัน Soft Power ของไทยให้เสร็จได้
ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์เรื่อง Soft Power ที่ยกมาเป็นเพียงตัวอย่างข้อเสนอให้ผู้บริหารที่เกี่ยวข้องนำไปพิจารณาถึงการปรับแผนการทำงานเพื่อรองรับกับความผันผวนและความท้าทายโลกที่จะเกิดขึ้นในอนาคตในอีกหลาย ๆ เรื่อง เช่น ปัญหาสิ่งแวดล้อม การเข้าสู่สังคมชรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแข่งขันนวัตกรรม ปัญหาดิจิทัลดิสรัปชั่น และการมาถึงโลก Metaverse ที่เกิดขึ้นแล้ว และจะมีอิทธิพลต่อชีวิตเราในอีกไม่ช้า แต่เรายังไม่มีแผนงานใดรับมือ
แม้วันนี้เราจะมีวิกฤตโควิด-19 ให้ต้องแก้ไข รัฐบาลต้องใช้เงินจำนวนมากในการดูแลประชาชน แต่เมื่อเราพบว่ามีเงินมากเพียงพอ เพียงแค่ปรับมุมมองเปลี่ยนวิธีคิด และการทำงานอย่างมียุทธศาสตร์ระยะยาวพร้อมแผนปฏิบัติจริง เปลี่ยนจากรัฐที่เป็นผู้ลงมือทำเอง มาเป็นผู้สนับสนุนให้เอกชนมีความเข้มแข็ง เพื่อสร้างงานสร้างอาชีพและส่งต่อโอกาสในสังคมได้ เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้ประเทศไทยประสบความสำเร็จดั่งที่รัฐบาลตั้งใจไว้ได้อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ น.ส.วทันยา บุนนาค ยังได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เดียร์ วทันยา บุนนาค ไว้ด้วยอีกว่า #SoftPower ไทยสู่ตลาดโลก ขอบคุณโอกาสในการเป็นที่ปรึกษาสมาพันธ์ภาพยนตร์ไทยแห่งชาติ
จากจุดเริ่มต้น.... รูปนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นของความหวัง อีกหนึ่ง Soft Power ไทย ที่มีการรวมตัวของทุกค่ายหนัง รวมถึงโรงภาพยนตร์ และคนเบื้องหลัง ในอุตสาหกรรมนี้
จากวันนั้นมาถึงวันนี้ผ่านมาแล้วเกือบ 2 ปี พวกเราก็ไม่เคยหยุดที่จะทำให้ Soft Power ไทย กลายเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนประเทศ ให้เหมือนประเทศอื่นๆ ที่มีต้นทุนทางวัฒนธรรม และบุคคลากรทางด้านงานศิลปะ ที่มีคุณภาพ
วันนี้ เดียร์ รู้สึกเป็นเกียรติ ที่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับพี่ ๆ ในการช่วยผลักดัน Soft Power ไทย รวมถึงอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย เดียร์ฝากทุกคนช่วยเป็นกำลังใจให้กับพี่ๆ ทุกคนที่ตัดสินใจจะทำต่อไป แม้มันจะมีปัญหาและอุปสรรคมากมาย มือเราทุกคนจะจับกันแน่นเสมอค่ะ
ปล.ขอบคุณคนที่ไม่ได้อยู่ในรูป อย่าง Julian Jeong Producer ของภาพยนตร์ Parasite และอดีตผู้บริหาร CJ E&M ที่ได้ให้ความรู้ รวมถึงแนวทางเพิ่มเติมและรับปากจะเป็นที่ปรึกษาให้กับพวกเราด้วย สำหรับโลก เร็ว ๆ นี้ SOFT POWER ไทยจะเดินทางออกไปหานะคะ