กรมศุลกากรสุวรรณภูมิเอาจริง เรียกค้นกระเป๋าเดินทางสาวไทยและแฟนต่างชาติ เช็กของแบรนด์เนมทั้งเครื่องประดับ กระเป๋า รองเท้าหรู เรียกเก็บภาษีกว่าครึ่งแสน
เฟซบุ๊ก Pang Boon ซึ่งเป็นสาวไทยที่ไปอยู่ต่างประเทศมา ได้โพสต์ข้อความดังนี้
ตอนแรกว่าจะไม่พิมพ์แต่ว่ามีคนถามเข้ามาเยอะมาก และเราไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดกับคนอื่น เพราะมันแย่มาก เมื่อวานเป็นวันแรกที่กลับเข้าไทย ในรอบ 2 ปีที่เหนื่อยมาก ลงเครื่องเวลาประมาณ 13.30 ไทย
เดินลงมาตรวจ QR code ปกติ และผ่านด่านเข้าเมืองจนมาหยิบกระเป๋า ก็ปกติไม่มีอะไร เมื่อวานคนเยอะมากมีทั้งคนไทย และ นักท่องเที่ยวมาพอสมควรพอหยิบกระเป๋าเสร็จเดินมาที่กรมศุลกากร
แฟนเข็นรถที่มีกระเป๋า ลาก 3 ใบ ส่วนเราเข็นรถมามีแต่กระเป๋าถือ 2 ใบระหว่างที่กำลังจะเดินผ่านไม่ทันไร มีคนมาดึงเราทันทีทั้งแฟนและเรา เขาบอกให้เอากระเป๋าสแกนให้หมดเรากับแฟนนำกระเป๋าให้เขาสแกน
จากนั้นเขาก็เรียกเรากับแฟน เข้าห้องทันที มีเจ้าหน้าที่พาเข้าห้องหลังจากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่เข้ามากัน ประมาณ 8-9 คน แฟนกับเราตกใจมาก ทำไมต้องมากันเยอะขนาดนี้พวกเจ้าหน้าที่ เริ่มเปิดค้นกระเป๋าทีละใบอย่างละเอียดเน้นว่า! อย่างละเอียด พวกของกินเขาไม่ยุ่งเลยไม่ว่าจะเป็นพวกวิตามิน หรือของฝาก โสม เจ้าหน้าที่ดูแล้วผ่านๆ ไม่ถามอะไรมาก แต่ … ชิ้นไหนที่เป็น แบนรดเนมจะเอามาแยกโต๊ะทันทีในห้องนั้นมี 2 โต๊ะ อารมณ์เป็นห้องตรวจค้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
เจ้าหน้าที่ทำการตรวจว่าของแต่ละชิ้นมีมูลค่าเท่าไหร่ โดยไม่สนว่าชิ้นนั้นใช้แล้วหรือไม่ เธออธิบายว่าของทุกชิ้นใช้แล้ว และมีหลักฐานยืนยัน ยกเว้น รองเท้า 2 คู่ 1 คู่เพิ่งซื้อที่ดิวตี้ฟรีเกาหลีใต้ ซึ่งแฟนเป็นคนซื้อมาฝากน้องสาวซึ่งมีหลักฐานการคุย อีกคู่ของใหม่แต่ทำส้นแล้ว จะเอามาใช้ที่ไทย ของทุกชิ้นเราอธิบายหมดแล้ว มีหลักฐานการใช้ แม้กระทั่งเสื้อผ้า มีการซักแห้งมาแล้ว มีกลิ่นน้ำยาหมด กางเกง Gucci ของแฟนซึ่งใส่กล่องมา ก็มีหลักฐานว่าใส่แล้ว เธอบอกไปว่าไม่เชื่อก็ลองดม ปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่หนึ่งคนดมจริง ๆ
สักพักหนึ่งเจ้าหน้าที่อีกคนเดินมาบอกว่า ของที่อยู่ตรงนี้ทั้งหมดจะถูกยึด เธอตกใจมากจึงถามไปว่าทำอะไรผิด ใช้ของแบรด์เนมไม่ได้เลยหรือ เจ้าหน้าที่บอกว่า ใช้ได้ แต่ต้องเสียภาษี คุณไม่ทราบหรือว่า ของติดตัวเข้าประเทศได้ทั้งหมดไม่เกิน 20,000 บาท เธอจึงบอกว่า มาในฐานะนักท่องเที่ยวและก็ไม่ค่อยได้อยู่ที่ไทย มาครั้งนี้ของทุกชิ้นก็จะกลับเอากลับไปเหมือนเดิม ซ้ำแฟนของเธอเป็นชาวต่างชาติทำไมต้องเสียภาษีให้ แต่เจ้าหน้าที่ยืนกรานว่าถ้าไม่จ่ายจะยึดของ และจะขึ้นแบล็กลิสต์ไม่ให้เข้าประเทศได้อีก เธอก็ยังไม่ยอม และได้ทำการปรึกษาทางพี่ ๆ เพราะดูแล้วเหตุการณ์แบบนี้ไม่สมควรที่จะเกิดขึ้น
สักพักหนึ่งทางเจ้าหน้าที่อีกคนบอกว่า ถ้าชิ้นไหนมีหลักฐานการใช้แล้วจะยอมปล่อยไป แต่ถ้าชิ้นไหนไม่มีหลักฐานจะถูกคิดภาษี ปรากฏว่ากระเป๋า Chanel เพิ่งเอามาใช้ กับ รองเท้าอีก 2 คู่ และเสื้อคลุม Gucci เพิ่งใช้ไปไม่มีรูปถ่ายมาก่อนจึงโดนภาษีไป เกือบ 7 หมื่นบาท และยืนยันจะเก็บภาษีกับแฟนของเธอค่ารองเท้า ซึ่งแฟนเธอไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน
โดยอัตราการคิดภาษี กระเป๋า 20% (+ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%) รวม 27% ส่วนรองเท้าและเสื้อผ้า 30% (+ ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%) = 37% ซึ่งเธอก็ไม่ยอม จึงยืนรอจนเวลาผ่านไปกว่า 3 ชั่วโมง มีเจ้าหน้าที่อีกกลุ่มมา ลดหย่อนให้จนเหลือ 54,000 บาท
ยังมีหลากหลายคนสงสัยและสอบถามกันในคอมเมนท์ของเฟซบุ๊ก Pang Boon ว่าภาษีจริงๆแล้วแต่ละอย่างมีการเก็บภาษีจริงเท่าไหร่
ภาษีนำเข้า โดยคิดตามอัตราอากรขาเข้าที่ระบุไว้ในพิกัดศุลกากร ซึ่งมีราคาแตกต่างกันตามชนิดและประเภทสินค้า เช่น
เสื้อผ้า หมวก เข็มขัด รองเท้า เครื่องสำอาง น้ำหอม คิดภาษี 30%
กระเป๋าแบรนด์เนม คิดภาษี 20%
ซีดี ดีวีดี อัลบั้มเพลง อัลบั้มคอนเสิร์ต ตุ๊กตา คิดภาษี 10%
นาฬิกาข้อมือ แว่นตา แว่นกันแดด คิดภาษี 5%
โทรศัพท์ กล้อง คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ เมาส์ อุปกรณ์ไอทีต่าง ๆ แผงวงจรไฟฟ้า ได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า
และยังต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สินค้าทุกชิ้นที่เสียภาษีนำเข้าแล้ว จะต้องคิด VAT อีก 7% เข้าไปด้วย โดยคำนวณจากราคาสินค้าที่บวกกับอากรขาเข้าแล้ว
วิธีคิดง่ายๆ
1. อากรขาเข้า = ราคาสินค้า x อัตราภาษีขาเข้า
2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม = (ราคาสินค้า + อากรขาเข้า) x อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%
3. ภาษีทั้งหมดที่ต้องชำระ = อากรขาเข้า + ภาษีมูลค่าเพิ่ม
หากหนีภาษี ไม่ยอมเข้าช่องตรวจศุลกากร หรือนำแบรนด์เนมหลีกเลี่ยงการตรวจ หากเจ้าหน้าที่พบจะมีความผิดฐานลักลอบหนีศุลกากร ต้องถูกริบของ และปรับเงิน 4 เท่าของราคารวมภาษีอากร หรือจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ