โรคฝีดาษลิง เป็นโรคติดต่อจากสัตว์ตระกูลแทะ เช่น หนู ลิงไม่มีหาง และกระต่าย มีอัตราเสียชีวิตสูงถึง 10 เปอร์เซ็น แม้พบได้ไม่บ่อยในทั่วไปขณะนี้ แพทย์ผิวหนังแนะนำให้สังเกตอาการและป้องกันตัวเองเบื้องต้นเพื่อเลี่ยงความเสี่ยง
โรคฝีดาษลิง ที่กำลังระบาดอยู่ในยุโรป ขณะนี้ อธิบดีกรมการแพทย์ นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ ได้เปิดเผยว่า พบผู้ติดเชื้อไวรัสฝีดาษในโปรตุเกส 6 ราย และมีผู้ป่วยที่ต้องสงสัยอยู่ระหว่างตรวจวินิจฉัย อีกกว่า 12 ราย โดยในรายงานระบุว่า โรคฝีดาษลิง เกิดจากเชื้อไวรัส Othopoxvirus ธรรมชาติของเชื้อไวรัสชนิดนี้ มักอยู่ในสัตว์ตระกูลฟันแทะ และสามารถติดต่อไปยังสัตว์อื่น โดยเฉพาะในตระกูลลิงไม่มีหาง กระต่าย และสัตว์ฟันแทะอื่น เช่น กระรอกดิน
โดยแบ่งลักษณะการติดต่อออกได้เป็น 2 ลักษณะคือ
1.การติดต่อจากสัตว์สู่มนุษย์ สามารถติดต่อกันช่องทางการต่างๆ ดังนี้
2.การติดต่อจากมนุษย์สู่มนุษย์ สามารถติดต่อกันช่องทางการต่างๆ ดังนี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
WHO ยืนยันพบผู้ป่วย ฝีดาษลิง 80 เคส ใน 11 ประเทศ อาการเป็นยังไง อันตรายแค่ไหน
ดร.อนันต์ เผย 'ฝีดาษลิง' ความท้าทายใหม่เทียบ อีสุกอีใส ไม่ได้
หลังจากได้รับเชื้อจะมีระยะฟักตัวอยู่ที่ประมาณ 7-14 สัปดาห์ และอาจใช้เวลานานถึง 21 วันในบางกรณี
แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า อาการเริ่มต้นจะมีไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย และมีต่อมน้ำเหลืองโต โดยได้ให้ข้อสังเกต ความแตกต่างระหว่างฝีดาษลิงและฝีดาษตามลักษณะอาการไว้ดังนี้ โดยเริ่มจาก
โดยอาการของโรคตั้งแต่แรกจนจบจะกินเวลาอยู่ที่ประมาณ 2-4 สัปดาห์ ขณะนี้ อัตราการเสียชีวิตประมาณ 10 % โดยมีสาเหตุจากภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อในปอด การขาดน้ำและภาวะสมองอักเสบ การตรวจทางห้องปฏิบัติการใช้การตรวจด้วยวิธี PCR ของเหลวจากตุ่มน้ำที่ผิวหนัง
ปัจจุบันยาที่ใช้รักษาโรคฝีดาษลิง ได้แก่ ยาต้านไวรัส cidofovir , Tecovirimat, brincidofovir โดยในสหรัฐอเมริกาได้ประกาศให้ใช้วัคซีนที่ชื่อว่า JYNNEOS เพื่อป้องกันการติดเชื้อเบื้องต้น
ข้อแนะนำเบื้องต้นสำหรับประชาชนทั่วไปจาก ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง มีดังนี้
สำหรับในกรณีที่พบผู้สงสัยว่าจะติดเชื้อฝีดาษลิง แนะนำให้แยกผู้ป่วย ป้องกันระบบทางเดินหายใจของผู้ใกล้ชิด และนำส่งสถานพยาบาลที่สามารถแยกกักตัวผู้ป่วยได้ หลีกเลี่ยงการเลี้ยง หรือนำเข้าสัตว์ป่าจากต่างประเทศที่ไม่ทราบประเทศต้นทาง เพื่อป้องกันความเสี่ยงด่านแรก