เกิดดราม่าในโลกโซเชียลในประเทศจีน เนื่องจากบริษัทแห่งหนึ่งได้ขอให้พนักงานออฟฟิศแคปภาพหน้าจอหลังเลิกงานเพื่อขอเช็กแบตเตอรี่ที่เหลือในแต่ละวันและข้อมูลการใช้แอปพลิเคชั่น เพื่อเช็กปัญหาพนักงานเล่นโทรศัพท์มือถือในเวลางาน
เรื่องนี้ดังเป็นไวรัลในจีนเนื่องจากแพลตฟอร์ม Weibo มีพนักงานคนหนึ่งแคปหน้าจอใน Wechat ที่มีการส่งข้อมูลแบตเตอรี่ที่เหลือหลังเลิกงาน และข้อมูลการใช้แอปพลิเคชั่นต่างๆ ซึ่งพนักงานได้โพสต์และรเรียกร้องเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว
บริษัทดังกล่าวจึงได้ชี้แจงว่า ตอนนี้ประสิทธิภาพของบริษัทกำลังลดลง การจับตาการใช้โทรศัพท์มีเป้าหมายเพื่อสร้างประสิทธิภาพและสปิริตของทีม นอกจากนี้ยังบอกอีกด้วยว่าจะช่วยให้พนักงานใช้โทรศัพท์เพื่อเล่นเกม ดูวิดีโอ หรือแชทในเวลางานน้อยลง
มีการถกเถียงกันเรื่องของกฎหมาย แต่ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของรัฐได้ให้คำตอบว่า “นี่คือสิทธิตามกฎหมายของนายจ้างในการควบคุมพนักงานด้วยวิธีการต่างๆ ระหว่างการทำงาน” “ในกรณีนี้ เมื่อนายจ้างขอให้ลูกจ้างส่งภาพหน้าจอแสดงแบตเตอรีที่เหลือในโทรศัพท์ นี่ก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล แต่ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นนอกเวลางาน นี่จึงเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวของพนักงาน”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
ในโซเชียลฝั่งลูกจ้างไม่มีใครเห็นด้วยกับการตรวจโทรศัพท์แบบนี้ จึงได้มีกระแสโพสต์กันเล่นๆว่า ต่อไปนี้พนักงานทุกคนจะมีโทรศัพท์สองเครื่อง เพื่อมีเครื่องหนึ่งไว้ใช้เล่น และอีกเครื่องหนึ่งไว้โชว์แบตเตอรี่ให้กับเจ้านาย
เชื่อว่าใครหลายๆคนอาจจะคิดคล้ายกันว่า แล้วหากพนักงานคนนั้นใช้โทรศัพท์ในการทำงานเป็นหลัก และต้องใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ บริษัทจะสามารถตรวจสอบได้อย่างไรว่าเป็นการเล่นเพื่อความบันเทิงหรือการหาข้อมูลในการทำงาน แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากในประเทศจีน ยังมีแอปพลิเคชั่นมากมายที่หลายคนต้องการมีความเป็นส่วนตัว เช่น แอปหาคู่ หรืออื่นๆอีกมากมาย
ในฝั่งยุโรปหากมีการล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคลแบบนี้คงไม่มีใครยอมอย่างแน่นอน เนื่องจากไม่ว่าจะเป็นชาวอเมริกาหรือชาวยุโรป มักหวงแหนความเป็นส่วนตัวสูง และโฟกัสเพียงแต่ประสิทธิภาพการทำงานและผลงานที่สามารถพัฒนาได้ในแนวทางอื่นๆ แต่วิธีการตรวจสอบแบตเตอรี่โทรศัพท์หลังเลิกงานแบบนี้ขององค์กรในประเทศจีนก็อาจจะเหมาะกับบุคลากรในประเทศจีนก็เป็นได้
ในประเทศไทย บางบริษัทมีมาตรการให้ฝากโทรศัพท์มือถือไว้ในล็อกเกอร์เพื่อให้พนักงานโฟกัสกับงานมากยิ่งขึ้น แต่ก็อาจทำให้พนักงานรู้สึกไม่ดีกับมาตรการเหล่านี้ ปัจจุบันได้มีการเรียกร้องเรื่องความเป็นส่วนตัวกันมากขึ้นในทั่วโลก แต่อย่างไรก็ทุกอย่างก็ต้องแล้วแต่ดุลพินิจและกฎหมายของแต่ละประเทศที่จะให้ความสำคัญเรื่องนี้มากน้อยเพียงใด