“หมอธีระ” เปิดข้อมูลล่าสุดไทยเสียชีวิตอันดับ 8 ของโลก ชี้ทางรอดมี 2 ปัจจัยคือความรุนแรงของโอไมครอนและวัคซีนกระจายได้มากเพียงใด แนะทางเลือกที่ตัวเองทำได้คือ ป้องกันตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เป็นกิจวัตร และใส่หน้ากากอนามัย
23 เม.ย. 65 “หมอธีระ” หรือ รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยข้อมูลการเสียชีวิตของประเทศไทยจากการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยยอดผู้เสียชีวิตรายวันพุ่งติดอันดับ 8 ของโลก โดยระบุว่า...
โควิดทะลุ 508 ล้านไปแล้วเมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 656,588 คน ตายเพิ่ม 2,366 คน รวมแล้วติดไปรวม 508,404,105 คน เสียชีวิตรวม 6,238,724 คน
5 อันดับแรกที่ติดเชื้อสูงสุดคือ เยอรมัน ฝรั่งเศส เกาหลีใต้ อิตาลี และออสเตรเลีย
เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่มีประเทศจากยุโรปและเอเชียครอง 8 ใน 10 อันดับแรก และ 14 ใน 20 อันดับแรกของโลก จำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้ มาจากทวีปเอเชียและยุโรป รวมกันคิดเป็นร้อยละ 80.11 ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 80.05 การติดเชื้อใหม่ในทวีปเอเชียนั้นคิดเป็นร้อยละ 28.31 ของทั้งโลก ส่วนจำนวนเสียชีวิตเพิ่มคิดเป็นร้อยละ 24.97
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
หมอธีระ ชี้ Long Covid เปรียบเสมือนสึนามิต่อจาก "โอไมครอน" หลังพบเคสมากขึ้น
หมอธีระ ชี้หลังสงกรานต์ 2565 ยอดโควิดอาจพุ่งสูง 2-3 เท่า ถ้าไม่ป้องกันให้ดี
สถานการณ์ระบาดของไทย เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่ รวม ATK สูงเป็นอันดับ 8 ของโลก และอันดับ 3 ของเอเชีย ในขณะที่จำนวนเสียชีวิตเมื่อวาน สูงเป็นอันดับ 8 ของโลก
ทั้งนี้จำนวนคนเสียชีวิตของไทยเมื่อวานนั้นคิดเป็น 21.65% ของการเสียชีวิตทั้งหมดที่รายงานของทวีปเอเชีย
มองแนวโน้มรายสัปดาห์ ข้อมูลจาก Worldometer ชี้ให้เห็นว่าทั่วโลกจำนวนติดเชื้อใหม่ลดลง 27% และจำนวนเสียชีวิตลดลง 22% ในขณะที่ทวีปเอเชียนั้นจำนวนติดเชื้อใหม่ลดลง 34% และจำนวนเสียชีวิตลดลง 26%
ส่วนไทยเรานั้นจำนวนติดเชื้อใหม่ ไม่รวม ATK ลดลง 19% (โดยหากรวม ATK ไปด้วยจะพบว่าลดลง 11.65%) แต่กลับมีจำนวนเสียชีวิตเพิ่มขึ้นสูงถึง 22% จะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะดูจากทั้งจำนวนติดเชื้อใหม่และจำนวนเสียชีวิต เรายังมีสถานการณ์ระบาดที่สวนกระแสโลก เน้นย้ำให้เราทราบสถานการณ์จริง และมีสติในการใช้ชีวิต ป้องกันตัวให้ดี
มองภาพอนาคต หากพิจารณาตามข้อมูลทางการแพทย์ปัจจุบัน และลองวิเคราะห์บนสมมติฐาน 3 ข้อคือ สายพันธุ์ Omicron ครองการระบาดไปเรื่อยๆ โดยแตกหน่อต่อยอดเป็นสายพันธุ์ย่อย มีอิทธิฤทธิ์ไม่ต่างไปจากเดิมมากนัก รวมถึงเรื่องวัคซีนและยาที่มีนั้น ก็มีประสิทธิภาพเพียงระดับหนึ่ง ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศว่าจะจัดซื้อจัดหาของที่มีคุณภาพมาให้ประชาชนของตนเองอย่างเพียงพอและทันเวลาหรือไม่
กระแสของประเทศต่างๆ พยายามเปิดประเทศ เสรีการใช้ชีวิต เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
อนาคตถัดจากนี้ไปจะขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยหลักคือ
1. ลักษณะการระบาดของแต่ละประเทศ ว่าจะคุมได้เพียงใด หรือจะปล่อยให้ติดกันไปตามมีตามเกิด
และ
2. Long COVID ซึ่งตอนนี้ทั่วโลกต่างชัดเจนว่าคือของจริง และทำให้เกิดปัญหาระยะยาว แต่รอความรู้อีกเรื่องว่า การติดเชื้อ Omicron นั้นจะทำให้เกิดภาวะ Long COVID มากน้อยเพียงใดเมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่นๆ
ฉากทัศน์ที่จะเกิดขึ้นจึงแปรเปลี่ยนไปตามสองปัจจัยข้างต้น
คงจะดีมาก หากคุมการระบาดในประเทศได้ดี มีการติดเชื้อน้อย และ Long COVID จาก Omicron น้อยกว่าสายพันธุ์เดิมๆ
แต่หากติดเชื้อกันเละเทะไปเรื่อยๆ จำนวนมาก และ Long COVID จาก Omicron นั้นเท่ากับหรือสูงกว่าสายพันธุ์เดิมๆ ก็คงจะทำให้ระยะยาว ประชาชนในสังคมนั้นมีสถานะสุขภาพไม่ดี และส่งผลกระทบต่อผลิตภาพและค่าใช้จ่ายต่างๆ ในระยะยาว
ทางเลือกที่เราทำได้คือ ป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอ เป็นกิจวัตร ใส่หน้ากากนะครับ สำคัญมาก