Tesla ตัวบัคในอุตสาหกรรมยานยนต์ รายงานยอดขายในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันเมื่อปีก่อน ในขณะที่ผู้ผลิตยานยนต์เจ้าอื่นมียอดขายลดลง จาก ปัญหาชิปขาดแคลน และปัญหาด้านลอจิสติกส์
Tesla กลายเป็นตัวบัคในอุตสาหกรรมยานยนต์อีกครั้ง ด้วยการรายงานยอดขายรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น ท่ามกลางการขาดแคลนชิปคอมพิวเตอร์ รวมไปถึงปัญหาด้านลอจิสติกส์อื่น ๆ ที่บีบให้ผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นลดกำลังการผลิตลงอย่างมีนัยสำคัญ
Tesla รายงานว่าสามารถขายรถยนต์ได้มากกว่า 310,000 คันในไตรมาสแรก โดยเป็น โมเดล 3 กับ โมเดล Y ถึง 295,324 คัน ในขณะที่เป็น โมเดล S กับ โมเดล X รวมกันเพียง 14,724 คัน รวมทั้งหมด 310,048 คัน
ยอดขายของ Tesla เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจากยอดขายในไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว ด้วยยอด 309,000 คัน แต่เพิ่มขึ้นจากยอดขายในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ถึง 68%
สาเหตุที่ Tesla สามารถทำเช่นนั้นได้ เป็นเพราะโรงงานใหม่สองแห่ง โดยโรงงานแรกอยู่นอกกรุงเบอร์ลิน ในขณะที่อีกแห่งอยู่นอกเมืองออสติน (Austin) รัฐเท็กซัส (Texas) เพิ่งเริ่มผลิตและจัดส่งรถยนต์ไปเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนเท่านั้น
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง :
แดน อีฟส์ (Dan Ives) นักวิเคราะห์ด้านเทคโนโลยีของ Wedbush Securities กล่าวว่า ยอดขายและการผลิตของ Tesla นั้น "ดีกว่าที่เป็นกังวล"
อีฟส์ กล่าวว่า ผลลัพธ์ของ Tesla นั้นน่าประทับใจ "ในแง่ของจีนชัตดาวน์ทุกอย่างจากโควิด-19 และปัญหาด้านลอจิสติกส์ขนาดใหญ่ในการส่งมอบรถยนต์ให้กับลูกค้าในยุโรป"
"เราเชื่อว่ารถยนต์ประมาณ 20,000-25,000 คัน ผลิตในไตรมาสแรกไม่ทัน ต้องไปผลิตต่อในไตรมาสสองแทน อันเนื่องมาจากการขนส่งและปัญหาโรงงานซึ่งทำให้ตัวเลขความต้องการพื้นฐานนี้ยังคงแข็งแกร่งและมีวิถีที่แข็งแกร่งสำหรับส่วนที่เหลือของปี 2022" อีฟส์ กล่าวเสริม
ยอดขายของผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากปัญหาห่วงโซ่อุปทานต่าง ๆ ทำให้ลดกำลังการผลิตลง และไม่มีใครรายงานยอดขายทั่วโลก เช่นเดียวกันกับ Tesla ที่รายงานยอดขายเฉพาะในสหรัฐฯ
ยอดขายรถยนต์ในสหรัฐฯ ลดลงอย่างมากจากปีที่แล้ว และเป็นที่ชัดเจนว่าปัญหาด้านลอจิสติกส์และการผลิตไม่ได้อยู่เบื้องหลัง
ตัวอย่างเช่น บริษัท General Motors (GM) จะปิดโรงงานชั่วคราวที่ฟอร์ทเวย์น (Fort Wayne) รัฐอินเดียน่า (Indiana) ที่ผลิตรถกระบะซิลเวอร์ราโด (Silverado) และเซียร์รา (Sierra) ที่ขายดีที่สุดในช่วงสองสัปดาห์เนื่องจากการขาดแคลนชิป
ยอดขายของ GM ในสหรัฐฯ ลดลง 20% จากปีที่แล้ว แม้ว่าจะเพิ่มขึ้น 16% จากไตรมาสที่สี่ก็ตาม ด้วยยอดขายรถยนต์และรถบรรทุกรวมกันกว่า 513,000 คัน ในไตรมาสแรก ทำให้ GM มียอดขายในสหรัฐฯ ตามหลังคู่แข่งคนสำคัญ อย่าง Toyota ราว 2,000 คัน
ปีที่แล้ว Toyota ครองตำแหน่งยอดขายสูงสุดในสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกในรอบเกือบศตวรรษที่ GM ไม่ได้เป็นผู้นำอุตสาหกรรมด้านการขายในตลาดบ้านเกิด แต่ในปีนี้ยอดขายลดลง 15%
Ford ยังไม่ได้รายงานยอดขายในไตรมาสแรก Stellantis ซึ่งเป็นบริษัทที่รู้จักกันในชื่อ Fiat Chrysler รายงานว่ายอดขายลดลง 14% จากปีก่อนหน้า
ยอดขายของ Honda ในสหรัฐฯ ลดลง 23% ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่ลดลงน้อยที่สุดคือ Hyundai และ Kia ซึ่งดำเนินการแยกกัน แต่มีกรรมสิทธิ์ร่วมกัน ยอดขายในสหรัฐฯ ลดลงเพียง 5% จากปีที่แล้ว
จำนวนรถยนต์ที่มีอยู่อย่างจำกัด ประกอบกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภค ส่งผลให้ราคารถยนต์สูงเป็นประวัติการณ์ ผู้ซื้อส่วนใหญ่ต้องจ่ายมากกว่าราคาขายปลีกที่ผู้ผลิตแนะนำ หรือราคาสติกเกอร์ มากกว่าส่วนลดทั่วไปจาก MSRP ซึ่งเป็นบรรทัดฐานในปีที่ผ่านมา