เปิดใจครั้งแรก! อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ลูกสาวคนโปรดของอดีตนายก ทักษิณ ที่จับตามองอาจเป็นว่าที่แคนดิเคตนายกฯ เผยชีวิตที่โตมาในครอบครัวชินวัตร พร้อมย้อนเล่าเหตุการณ์วันรัฐประหารปี 2549 และเรื่องที่อดีตนายกทักษิณประกาศกลับไทยเมื่อไหร่? ตอบชัดในรายการ WOODY EXCLUSIVE
เปิดใจครั้งแรก! อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนโปรดของอดีตนายกทักษิณ ที่หลายคนจับตามองว่าฉายแววเป็นว่าที่แคนดิเคตนายกรัฐมนตรี ซึ่งขณะนี้ดำรงตำแหน่งประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม เผยถึงเรื่องราวชีวิตที่โตมาในครอบครัวชินวัตร พูดทุกความรู้สึกอนาคตในเส้นทางการเมือง พร้อมย้อนเล่าถึงเหตุการณ์วันรัฐประหารปี 2549 และเรื่องที่อดีตนายกทักษิณประกาศเตรียมกลับไทยเมื่อไหร่? ตอบชัดทุกประเด็นในรายการ WOODY EXCLUSIVE
อุ๊งอิ๊ง : พอพี่วู้ดดี้พูดแบบนี้เราก็รู้สึกขึ้นมานะว่าคุณพ่อไม่เคยกดดันเราเลย เราภูมิใจที่คุณพ่อเก่งมากๆ มีอะไรเราถามเขาได้ เขาคือที่พึ่ง คือคุณพ่อมีชื่อเสียงตั้งแต่อิ๊งอายุ 8-9 ขวบ ตอนนั้นเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ยังจำได้เลยว่าไปถ่ายรูปในกระทรวง ยังงงๆ อยู่เลยว่าทำไมคนเยอะ สักประมาณอิ๊งอายุ 14 เขาเป็นนายก เหมือนเป็นภาพออกสื่อเราก็ลงหนังสือพิมพ์หน้า 1 ทุกฉบับ ใช้ชีวิตที่มีคนทัก มีคนรู้จัก แต่ว่าในครอบครัวเองมันค่อนข้างที่จะอบอุ่นมาก ไม่ได้รู้สึกว่าเราเป็น Somebody มากๆ ไม่ได้รู้สึกขนาดนั้น
อุ๊งอิ๊ง : สิ่งที่เรียนรู้มากเลยจริงๆ คือเรียนรู้ในการมีสติ อิ๊งว่าสติสำคัญ เพราะเราสติแตกก็มีนะ มีหลายอย่างที่มันเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นกราฟที่ขึ้นมากๆ หรือว่าลงมากๆ มันทำให้เราต้องรู้ตัวตลอดเวลา อะไรคือของจริง อะไรคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ ณ ปัจจุบัน ซึ่งตอนนั้นอิ๊งก็โดนเยอะอย่างเรื่องมหาวิทยาลัย ข่าวอะไรก็คงออกไปเยอะ มีครอบครัวนี่แหล่ะที่เป็นกำแพงให้ เหมือนเราไม่ได้อยู่คนเดียวคุณพ่อกับคุณแม่ก็จะมีวิธีในการสื่อสารระหว่างครอบครัวเยอะ ณ วันที่เราอายุ 8 ขวบ เขาก็บอกว่ากำลังเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศนะ มันคืออะไรเขาก็จะใช้คำง่ายๆ ให้เราเข้าใจ เราก็จะค่อยๆ เข้าใจภาพ อ่อ! คุณพ่อเป็นนายก อ่อ! คุณพ่อโดนปฏิวัตินะ คุณพ่อยังกลับประเทศไม่ได้นะ เราจะเข้าใจมาตลอดว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะฉะนั้นสิ่งปัจจัยรอบนอกที่เจอเราก็จะค่อนข้างยืดหยุ่นพอสมควร
อุ๊งอิ๊ง : คือตอนแรกเราก็อยากเป็นลูกรักพ่อไงเป็นลูกสาวคนเล็ก อะไรที่พ่อทำเราก็ต้องชอบหมด เหมือนเป็นการเอาใจนิดนึง พ่อไปตีกลอฟ์ก็ไปด้วย คือเป็นเด็กติดพ่อค่ะ เพราะฉะนั้นการเมืองเป็นสิ่งที่พ่อทำมันก็เลยทำให้เราอยากรู้ อยากเข้าใจและก็อยากที่จะอยู่เคียงข้างคุณพ่อไปตลอด มันก็เลยไม่ได้รู้สึกว่าเราจะไม่ชอบการเมือง ไม่ได้รู้สึกแบบนั้น
อุ๊งอิ๊ง : คุณพ่อจะสอนเรื่องการเรียนรู้ตลอดชีวิต เขาพูดตลอดว่าเราอย่าเป็นน้ำเต็มแก้ว อันนี้คือสิ่งที่อยากจะถ่ายทอดให้ลูกหลานต่อ ไม่ต้องกลัวที่เราจะเรียนรู้ เรียนรู้ไปเลยในสิ่งที่เราไม่รู้
อุ๊งอิ๊ง : ก่อนหน้านี้แพชชั่นของอิ๊งคือธุรกิจโรงแรมชัดเจน แต่พอเรามีลูกความคิดก็เริ่มเปลี่ยน รู้สึกว่าแพชชั่นของอิ๊งคืออยากทำให้ประเทศมันน่าอยู่สำหรับลูกเรา อีกหน่อยลูกเราจะมีเวทีไหม ถ้าเขาอยากจะแสดงศักยภาพขึ้นมา
อุ๊งอิ๊ง : อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาลค่ะ รู้สึกว่ามันนานแล้วที่มันเป็นอยู่แบบนี้ คิดว่าประเทศมันต้องไปต่อ ตอนนี้มันถอยหลังอย่างเดียว จากการที่คุณพ่อออกไปประเทศหรือเศรษฐกิจทุกอย่างก็ยังไม่เคยดีเท่าวันนั้น
อุ๊งอิ๊ง : วันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นวันที่น่ากลัวมากๆ สำหรับครอบครัวเรา วันนั้นเป็นวันที่ใกล้สอบก็เตรียมอ่านหนังสือกับเพื่อนที่คอนโดกัน สักพักคุณแม่โทรมาบอกให้กลับบ้านออกมาเลย เกิดอะไรขึ้น มีรถถังออกมาเขาบอกแบบนี้ ในใจคืองงไปหมดเลย กำลังจะขับรถกลับบ้านแม่ก็โทรมาบอกอีกว่ากลับบ้านไม่ได้ ทหารปิดซอยหมดแล้ว ก็เลยขับไปที่เซฟเฮ้าส์แล้วก็อยู่กับคุณแม่ 2 คน เพราะว่าตอนนั้นบังเอิญพี่ชายอยู่คนละที่ แล้วพี่เอมเรียนโทอยู่ที่อังกฤษ คุณพ่ออยู่อเมริกา อิ๊งก็ไปเจอคุณแม่ก่อน เป็นความกลัวมากๆ เพราะตอนนั้นยังอยู่ในชุดมหาวิทยาลัยเลยจำได้ และโทรคุยกับพี่เอมก็ร้องไห้ พี่เอมก็ร้องไห้ทุกคนโอเคไหม เราก็ไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรมาถึงตัวเราไหม มันกลัวมากกว่า มันห่วงคนในครอบครัว แล้วพ่อก็กำลังโดนภาวะที่มันหนัก ปฏิวัติก็ไม่ได้รู้ตัวก่อน คือทำการปฏิวัติตอนที่คุณพ่อไม่ได้อยู่ในประเทศ ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า ผ่านไปหลายสิบปีแล้วเวลาพูดก็ยังรู้สึกค่ะ
อุ๊งอิ๊ง : ก็ดีใจที่มีเครื่องบิน ดีใจมากที่เรายังสามารถบินไปเจอกันได้ เพราะคุยกับคุณแม่ช่วงแรกๆ ว่าดีนะยังได้ยินเสียงกัน แล้วมันก็จริงๆ มันยังได้ยินเสียงกัน มันยังได้กอดกัน
อุ๊งอิ๊ง : อิ๊งคิดว่าเราสนิทกับคุณพ่อมาก อย่างที่บอกตั้งแต่เด็กพ่อไปตีกลอฟ์ไปด้วย พ่อไปหาเสียงไปด้วยไม่เคยบ่น เพราะเราติดพ่ออยากอยู่ข้างๆเขา เป็นคนกล้าบอกพ่อทุกเรื่องตั้งแต่เด็กจนโตจะบอกหมด
อุ๊งอิ๊ง : คุณพ่อบอกว่าห้ามบอกพี่วู้ดดี้ (ยิ้ม) เมื่อถึงเวลาทุกคนจะรู้ค่ะ ไว้ว่ากันอีกทีค่ะ เดี๋ยวไม่เซอร์ไพรส์ สิ่งที่พูดกันไม่ได้พูดถึงในรูปแบบของการกลับมา แต่พูดในเรื่องของกลับมาแล้วจะทำอะไรมากกว่า คุยกับพ่อว่ากลับบ้านเลี้ยงหลานไม่ต้องทำงานเยอะแล้ว
อุ๊งอิ๊ง : ที่คุณพ่อพูดเสมอ ก็คงอยากจะฟื้นฟูเรื่องของเศรษฐกิจก่อนเลย เพราะเขาพูดตลอดว่าปากท้องคนไทยตอนนี้ลำบากมาก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขากังวลมาก
อุ๊งอิ๊ง : ตอนนี้พรรคเพื่อไทยก็ทำงานในสภาอยู่แล้ว แต่ถ้าถามส่วนตัวนะคะ เปลี่ยนไหม มันก็นานแล้วเหมือนกันนะ ถ้าอ่านอะไรบ้างในโซเชียลก็จะเห็นว่าคนเขาลำบากจริง อยากได้การเปลี่ยนแปลงจริงๆ อิ๊งว่ามันถึงเวลาแล้วที่มันต้องเปลี่ยน
อุ๊งอิ๊ง : ประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม ค่ะ
อุ๊งอิ๊ง : ต้องแล้วแต่คนในพรรคจะเมตตาเรามากแค่ไหน แล้วก็ออกมาข้างนอกว่าประชาชนจะคิดยังไงมากกว่า วันนี้ยังไม่อยากค่ะ แต่รู้สึกว่าต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง เมื่อเวลามันถึง มันใช่ ไม่รู้ความคิดจะเปลี่ยนเป็นยังไง แต่ ณ วันนี้ยังไม่ได้อยากเป็นนายกค่ะ ยังอยากจะเก่งมากกว่านี้ อยากจะมีประสบการณ์มากกว่านี้อีกสักหน่อย
อุ๊งอิ๊ง : เป็นบทบาทใหม่ที่อิ๊งได้เข้ามา ถึงจะเป็นบทบาทใหม่ แต่ทุกบทบาทที่ได้รับอิ๊งก็มีความตั้งใจมาก ไม่ว่าเหตุการณ์จะเป็นยังไงก็อยากจะช่วยเป็นส่วนที่ทำให้ประเทศเราดีขึ้นไม่ว่าในรูปแบบไหน อนาคตจะ Opportunity อะไรมาให้เรา แล้วเราก็คงจะทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด ขอฝากพรุ่งนี้เพื่อไทยค่ะ
อุ๊งอิ๊ง : จริงๆ สนับสนุนเรื่องนี้ เอาความคิดส่วนตัวแบบไม่มีความคิดของพรรคหรือนโยบาย ในเมื่อคนรักมีความรักกันอย่างเช่น เพศเดียวกันแต่งงานกัน แต่ไม่มีกฎหมายรับรอง ถ้าวันหนึ่งอยากจะทิ้งมรดกให้กันสมมุตินะแล้วกฎหมายไม่รองรับ เพราะตีความว่าเป็นเพื่อนกัน จริงๆ เขาเป็นคู่ชีวิตกัน มันจำเป็นเหรอที่ต้องมาคุมว่าเธอจะต้องมีเพศแบบนี้เหมือนกัน รู้สึกว่ามันไม่แฟร์ ทุกอย่างที่เขาเลือกที่จะเป็น ให้เขามีสิทธิ์ได้รักกัน ได้อยู่ด้วยกัน กฎหมายรองรับดูแลเขา นี่คือสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นค่ะ
อุ๊งอิ๊ง : เอาจริงๆ เคยคิดไหมคิด แต่ไม่ได้คิดไปในแง่นั้น แค่รู้สึกว่ามันต้องดีขึ้น คือการเมือง เศรษฐกิจ ความคิดประเทศต้องดีขึ้น ต้องก้าวไปข้างหน้าได้แล้ว เราจะไม่หยุดอยู่ที่เดิม ความยุติธรรมต้องชัดเจนขึ้น ทุกอย่างต้องเคลียร์ขึ้น
สามารถติดตาม WOODY EXCLUSIVE ได้ที่ช่องทาง Facebook: Woody , Youtube: Woody