ส่องความคิด "ปูติน" ประธานาธิบดีรัสเซีย ต่อผู้นำสหรัฐฯ และ NATO ในสัมภาษณ์พิเศษ ชี้ NATO เป็น 'ของที่ระลึกจากสมัยสงครามเย็น' เหตุใดยังมีอยู่ถึงปัจจุบัน
ย้อนไป 8 เดือนที่แล้ว วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย เคยได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ เคียร์ ซิมมอนส์ (Keir Simmons) จากช่องข่าว NBC ของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 2021 เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความมั่นคง สหรัฐฯ NATO และกรณีของยูเครน ไว้ได้อย่างน่าสนใจว่า
ค่านิยมที่สำคัญที่สุดในพันธกิจระหว่างประเทศคือความมั่นคงและสถานการณ์ที่คาดการณ์ได้ โดยทั่วไปแล้ว ผู้คนจะพบปะกันเพื่อสร้างความสัมพันธ์และสร้างสภาพแวดล้อมและเงื่อนไขสำหรับการทำงานร่วมกัน เพื่อให้บรรลุผลในเชิงบวกบางอย่าง เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องดีที่ทุกคนมารวมตัวกันและพูดคุยถึงประเด็นใดประเด็นหนึ่ง เพราะการหารือกัน ย่อมดีกว่าไม่พบปะพูดคุยกัน เนื่องจากหลาย ๆ เรื่องต้องให้ความสนใจและได้รับการพิจารณาอย่างต่อเนื่อง เพราะความคิดเห็นที่แตกต่างกันย่อมเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
สำหรับประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐอเมริกา ที่ต้องการสถานการณ์ที่มั่นคงและสามารถคาดการณ์ได้ แล้วกลับมาบอกว่าผมเป็นวายร้าย เป็นผู้นำเผด็จการที่ตั้งใจจะบ่อนทำลายระเบียบประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม เพราะทำให้ความสัมพันธ์และความมั่นคงระหว่างประเทศสั่นคลอนไม่สามารถควบคุมได้
ประธานาธิบดีปูติน แสดงความคิดเห็นว่า ย้อนกลับไปปี 2011 ถ้าหากจำได้ประเทศลิเบียถูกแยกออกเป็นสองส่วนจากพันธมิตรสหรัฐฯ แล้วทั้งประเทศก็พังทลาย หรือลองย้อนกลับไปเร็ว ๆ นี้ ทุกคนทั่วโลกรู้ว่ากองทัพสหรัฐฯ วางกองกำลังบางส่วนไว้ในประเทศอัฟกานิสถานอย่างต่อเนื่อง และทันใดนั้น บูม! กองทัพสหรัฐฯ ถอนกำลังออกจากอัฟกานิสถาน อะไรคือการคาดการณ์นี้และความมั่นคงอีกครั้ง ?
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง :
พร้อมกันนี้ ประธานาธิบดีปูติน ยังได้ยกตัวอย่างสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ที่สหรัฐฯ ยื่นมือเข้าไปช่วยเพื่อให้เกิดความมั่นคงที่เสถียรภาพ สถานการณ์ที่สหรัฐฯ อยากคาดการณ์ได้ ผลเป็นอย่างไร ? ซีเรียเป็นอย่างไร ?
รัสเซียไม่ต้องการให้เกิดเหตุแบบลิเบีย หรืออัฟกานิสถาน หรือซีเรีย กับประเทศอื่นใดบนโลกใบนี้อีก
ด้านความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับสหรัฐฯ ในช่วง 2 ปีที่ผ่าน รัสเซียยอมสหรัฐฯ มามาก เราเสียสละเพื่อเห็นแก่ความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรงภายในสหรัฐฯ เรารู้ดีว่า เราถูกกล่าวหาทุกประเภท อาทิ การแทรกแซงการเลือกตั้ง การโจมตีทางไซเบอร์และอื่น ๆ เป็นต้น
และไม่ใช่เพียงแค่ครั้งเดียวที่รัสเซียถูกสหรัฐฯ กล่าวหาโดยไร้ซึ้งหลักฐานหรือมูลเหตุใด ๆ
"ผมยังแปลกใจ ที่เรายังไม่ถูกกล่าวหาว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ไปกระตุ้นการเคลื่อนไหว Black Lives Matter" ประธานาธิบดีปูติน กล่าว
สำหรับข้อกล่าวหาต่าง ๆ โดยเฉพาะการโจมตีทางไซเบอร์ ว่า กลุ่มอาชกรทางไซเบอร์ที่พูดภาษารัสเซียเป็นคนลงมือกระทำ ไหนละหลักฐานที่ว่ารัฐบาลรัสเซียเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตี สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นแค่การกล่าวอ้างที่ไม่มีมูล
สำหรับประเด็นนี้ ผมยอมรับว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เกิดเหตุอาชญากรรมทางไซเบอร์เพิ่มขึ้นหลายครั้งภายในสหพันธรัฐรัสเซีย และรัฐบาลรัสเซียเองกำลังพยายามที่จะโต้ตอบ เรากำลังมองหาอาชญากรไซเบอร์ เมื่อหาเจอเราจะลงโทษพวกเขา นอกจากนี้ผมยังเคยเสนอสหรัฐฯ ตั้งแต่สมัยที่บารัค โอบามา ยังคงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในปีสุดท้าย ว่า "เราควรตกลงการทำงานร่วมกันในโลกไซเบอร์" เพื่อสร้างความมั่นคงทางไซเบอร์ระหว่างประเทศ
แต่แล้วผลเป็นอย่างไร พวกเขาเงียบหายไป ไม่ตอบ ผ่านไปเดือนสองเดือนค่อยมาตอบว่า เป็นข้อตกลง "ที่น่าสนใจ" แล้วพวกเขาก็ไปแพ้การเลือกตั้งให้กับโดนัลด์ ทรัมป์
รัสเซียเสนอข้อตกลงทางไซเบอร์ไปอีกรอบให้กับประธานาธิบดีทรัมป์ คำตอบคือเหมือนเดิม "เป็นข้อตกลงที่น่าสนใจ" แต่การเจรจาเพื่อให้เกิดเป็นรูปธรรมไม่เคยมาถึง
รัสเซียยินดีที่จะประสานกับประเทศต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงสหรัฐอเมริกา แต่คุณเป็นคนเลือกที่จะปฏิเสธการมีส่วนร่วมนี้ด้วยตัวเอง แล้วเราทำอะไรได้บ้าง ? เราไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง เราไม่สามารถจัดโครงสร้างขนาดใหญ่นี้ด้วยตัวเองเพียงฝ่ายเดียวได้
หลังจากนั้น เคียร์ ซิมมอนส์ ได้ถามประธานาธิบดีปูติน เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง "ยูเครน" ซึ่งทางสหภาพยุโรปกล่าวว่า รัสเซียมีการซ้อมปฏิบัติการทางทหาร โดยวางกองกำลังมากกว่า 100,000 นาย บริเวณชายแดนรัสเซีย - ยูเครน นั่นคือความพยายามที่จะดึงความสนใจจากรัฐบาลสหรัฐฯ หรือไม่ ?
ประธานาธิบดีปูติน ได้ตอบว่า "ฟังนะ อย่างแรกเลยคือ ยูเครนเป็นคนเริ่มก่อนเองและทำมาอย่างต่อเนื่อง ผมคาดว่าอย่างไรแล้วก็คงจะทำอยู่อย่างนั้นต่อไป ด้วยการนำกองกำลังพร้อมยุทโธปกรณ์ทางทหารไปยังพื้นที่ขัดแย้งทางตะวันออกเฉียงใต้ของยูเครน อย่างแคว้นดอนบาส นั่นเป็นประการที่หนึ่ง และประการที่สอง เราฝึกปฏิบัติการในอาณาเขตของรัสเซียและไม่ใช่เฉพาะทางตอนใต้ของสหพันธรัฐรัสเซียเท่านั้น แต่ยังรวมถึงในตะวันออกไกลและทางเหนือในอาร์กติกด้วย"
"เพราะในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ก็มีการฝึกทหารในอลาสก้า และคุณอาจจะบอกว่าคุณ 'ไม่รู้' แต่ผมบอกว่า 'ผมรู้' และนั่นก็คืออยู่ใกล้พรมแดนของเราโดยตรง แต่สหรัฐฝึกอยู่ในอาณาเขตตัวเอง บนแผ่นดินตัวเอง เราไม่ได้สนใจมันเลย" ประธานาธิบดีปูติน กล่าวเสริม
นอกจากนี้ ยังระบุเพิ่มเติมว่า "แต่กับทางชายแดนตอนใต้ของสหพันธรัฐรัสเซียเกิดอะไรขึ้น ? NATO ส่งกองกำลังกว่า 40,000 นาย พร้อมยุทโธปกรณ์ทางการทหารต่าง ๆ อีก 15,000 หน่วย ซึ่งบางส่วนถูกขนส่งทางอากาศจากสหรัฐอเมริกาลัดฟ้าตรงไปยังพรมแดนของเรา แล้วเราได้ขนทหารพร้อมยุทโธปกรณ์ไปยังชายแดนสหรัฐฯ หรือไม่ ? ไม่ เราไม่ได้ทำ"
ประธานาธิบดีปูติน ได้ยกมาว่า ในสมัยที่มิคาอิล กอร์บาชอฟ (Mikhail Gorbachev) ยังเป็นประธานาธิบดีของสหภาพโซเวียต (USSR) ทาง NATO เคยได้ให้คำสาบานไว้ว่าจะไม่ขยายอำนาจไปทางยุโรปตะวันออก ตอนนี้กลับมาเล่นลิ้นว่า ไหนละคำสาบานที่ว่านี้ เขียนระบุไว้ในข้อตกลงที่ไหน แล้วตอนนี้ก็จะมากระจายอำนาจไปทางตะวันออกของยุโรป
"ความจริง ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่า ทำไม NATO ถึงยังมีตัวตนอยู่ NATO เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยสงครามเย็น เป็น 'ของที่ระลึกจากสมัยสงครามเย็น' แล้วยังคงสืบทอดมาถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งหลายคนคงอาจลืมไปแล้วว่า องค์กรนี้ถูกถกว่าควรจะมีความเปลี่ยนแปลง" ประธานาธิบดีปูติน กล่าว
พร้อมถามกลับไปว่า "อะไรคือจุดประสงค์ของ NATO ที่ต้องการแพร่ขยายไปทางทิศตะวันออก ไปกระชั้นชิดติดกับพรมแดนของเรา แล้วมาบอกว่ารัสเซียเป็นผู้เริ่มกระทำเชิงรุกก่อน ?"
ตั้งแต่การล่มสลายของสหภาพโซเวียต รัสเซียเคยเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ ประเทศพันธมิตร หรือยุโรปหรือไม่ ? เราสมัครใจถอนทหารออกจากยุโรปตะวันออก ทิ้งพวกเขาไว้บนผืนดินที่ว่างเปล่า บุคลากรของเรา ทหารของเรา คนที่นั่น ต่างอยู่อาศัยมานานหลายสิบปีในสภาพที่ไม่ปกติ ซึ่งรวมถึงลูก ๆ ของพวกเขาด้วย
"เราจ่ายไปมหาศาล แล้วเราได้อะไรตอบกลับมาบ้าง ? เราได้กองกำลัง NATO พร้อมยุทโธปกรณ์มาตั้งอยู่หน้าบ้านเรา และตอนนี้คุณกำลังพูดว่าผมกำลังข่มขู่ใครซักคน ด้วยการที่รัสเซียซ้อมทหารอยู่เป็นประจำ ผมแค่ไม่เข้าใจ" ประธานาธิบดีปูติน กล่าว
พร้อมทิ้งท้ายไว้ว่า "เราฝึกทหารในอาณาเขตของเรา ลองนึกภาพถ้าเราส่งกองทหารของเราเข้าไปใกล้ชายแดนของคุณโดยตรง คำตอบของคุณจะเป็นอย่างไร ? เราไม่ได้ทำอย่างนั้น เราทำในอาณาเขตของเรา คุณซ้อมรบในอลาสก้า นอกจากนั้นยังส่งทหารและยุทโธปกรณ์ข้ามน้ำข้ามทะเลมาตั้งใกล้พรมแดนของเรา แต่คุณเชื่อว่าเรากำลังดำเนินการอย่างดุดัน และคุณไม่ได้กระทำการก้าวร้าวแต่อย่างใดเลย อย่างนั้นหรือ ?"