Vivianie Diaz Arroyo 3rd runner up Miss Grand International 2021 นางงามผู้สร้างตำนานใช้ภาษามือสื่อสารสะกดใจคนทั้งโลก พร้อมกับสเต็ปท่าเดินที่ตราตรึงใจจนกลายเป็นกระแสไวรัลบนโลกโซเชียลของประเทศไทย นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอกลายเป็น "นางงาม" ที่มีมากกว่า "ความสวย"
สร้างตำนาน "ภาษามือ" สะกดใจคนทั้งโลก
"ฉันอยากจะพิสูจน์ว่าเราสามารถสื่อไปถึงทุกคนได้ มือของฉันก็สามารถสื่อสารไปถึงพวกเขาได้ ฉันเริ่มเรียนภาษามือตั้งปี 2015 และฉันก็ค้นพบทางของฉัน ที่จะสามารถส่งคืนต่อสังคมได้ มันสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น การสื่อสารมันไม่จำเป็นต้องพูดถึงมันอย่างเดียว และสื่อสารมันออกไปในภาษาต่างๆ ดังนั้นภาษาอังกฤษและภาษามือคือการสื่อสารที่เพอร์เฟคที่สุด"
"ฉันรู้สึกซาบซึ้งมากที่ได้รู้ว่าที่ฉันได้รับการตอบรับอย่างดี มันทำให้ฉันมีความสุขมากที่ได้แสดงโชว์ให้คนทั้งโลกเห็นได้รู้ว่าสิ่งนี้มันสำคัญขนาดไหนในสังคมของเรา เมื่อฉันกลับบ้านฉันจะกลับไปดำเนินโครงการของฉันต่อ ฉันก็ทำมันเงียบๆ คนเดียวมาประมาณ 2 ปีครึ่งฉันก็สนุกกับมัน ตอนนี้ฉันเรียนปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ ซึ่งนี้ก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักและเมื่อฉันเรียนจบ"
"ฉันอยากทำธุรกิจที่มันแตกต่าง เป็นธุรกิจที่สามารถมุ่งเน้นและเตรียมพร้อมเพื่อที่จะทำงานกับกลุ่มคนที่มีปัญหาทางด้านการได้ยิน ฉันคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ตัวฉันตั้งใจจะทำต่อเพื่อที่จะรวมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของฉัน ฉันคิดว่าส่วนสำคัญของการเรียนภาษามือคือการนำเสนอความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภาษามันคือการเชื่อมต่อเราเข้าด้วยกัน"
"การสื่อสารที่ดีคือการสื่อสารได้ทั้งกับสังคมคนที่ได้ยินและคนที่ไม่ได้ยิน การที่เราเรียนรู้ภาษามือ และรับรู้เกี่ยวกับมัน จะเป็นสิ่งที่คุณมองหาหนทางที่จะช่วยและทำงานเพื่อความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างสองสิ่งนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในสังคมของเรา ดังนั้นมันจึงเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นหนึ่งเดียวและนั่นก็คือมุมมองของฉัน"
"วิเวียนนี่" ผู้สร้างสเต็ปเดินโลกต้องจำ
"ตอนแรกฉันก็ไม่รู้ แต่หลังจากรอบตัดสิน ฉันก็เข้าไปเช็กในโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มของ Miss Grand International ยอดคนฟอลโล่ฉันเพิ่มขึ้น แล้วคนก็ส่งข้อความถึงฉันเยอะมากเป็นอะไรที่ดี ก่อนหน้านี้ฉันเป็นนางแบบฉันจึงมีประสบการณ์ในการเดินแบบประมาณ 2-3 ปี"
ฉันใช้เวลาเตรียมตัวในการเดินก่อนจะมาประกวด 2-3 เดือน เพราะมันจะต้องมีวิธีการที่ฉันจะต้องใช้ วันหนึ่งใช้การฝึกประมาณ 3 ชั่วโมงในการที่ฉันจะเดินและใช้ระยะเวลาฝึก 3 เดือน มันต้องเดินในแบบเฉพาะในการทำยังไงให้เดินตรง การลงน้ำหนักเท้า แต่พอผ่านไปสักพักมันจะเริ่มชินและก็ง่ายขึ้น"
"ฉันแพลนมาแล้วว่าการที่จะมาประกวดในเวทีนานาชาติ นางงามทุกคนต้องเตรียมตัวมาอย่างดี ดังนั้นก่อนที่ฉันจะมาที่นี่ฉันก็ต้องหาวิธีการเดินที่แตกต่าง เพื่อที่จะให้ผู้คนจับจ้องมองมาที่ฉัน ฉันคิดว่าสำหรับการประกวดในเวทีนานาชาติทุกคนควรจะมีความเป็นตัวของตัวเอง
และก็ควรจะทิ้งความทรงจำที่ดีไว้เบื้องหลัง และสิ่งที่ฉันอยากจะให้นางงามที่อยากจะประกวดให้หาสัญลักษณ์ของตัวเองให้เจอ ค้นหาตัวเองให้เจอและก็ใช้ตรงนี้ให้เป็นแรงบันดาลใจสร้างอะไรที่เป็นของตัวเองมีคาแร็คเตอร์ของตัวเอง เพื่อทำให้เกิดสิ่งใหม่ๆ ในแวดวงการประกวดนางงาม"
ประกวดนางงามผลักดัน "คุณค่าผู้หญิง"
"สิ่งที่ฉันคิดว่าเป็นคำตอบที่ดีที่สุดคือการส่งข้อความไปยังผู้คนว่าจริงๆแล้วเราทำอะไรอยู่ และโชว์ว่าเราทำอะไรได้บ้าง โชว์ทั้งสองด้านของผู้หญิง โชว์ด้านที่น่ารักสวยงาม โชว์ด้านความเป็นเพศหญิง เราโชว์ให้โลกได้รู้ว่าเราคือใคร เราฉลาดแค่ไหน แล้วโชว์ว่าเรามีค่าแค่ไหน พวกเรากำลังต่อสู้กับแสตนดาร์ดของผู้หญิงในสังคม"
"ครั้งแรกที่ฉันประกวดคืออายุประมาณ 12 ปี การเดินสายประกวดทำให้ฉันรู้สึกมีคุณค่าเหมือนผู้หญิงคนหนึ่ง และรู้ว่าฉันมีศักยภาพแค่ไหน เมื่อตอนฉันอายุ 12 ตอนอยู่ในโรงเรียนฉันโดนล้อบ่อยมาก ว่าฉันผอมเกินไป ตาโตเกินไป แต่พอไปประกวด ฉันก็รู้ว่าความสวยที่แท้จริงของฉันคืออะไร"
"ในสายตาฉันการประกวดคือช่องทางที่ดีที่จะได้โชว์ให้โลกว่าผู้หญิงสามารถทำอะไรได้บ้าง คุณสามารถสวยและฉลาดไปพร้อมกันได้ นางงามที่สวยไม่จำเป็นต้องฉลาดก็ได้ เพราะว่าเรามีผู้หญิงที่มีการศึกษาและก็สวยด้วย การศึกษาอย่างเช่นเรามีผู้หญิงที่ทั้งเป็น หมอ นักสื่อสาร และ วิศกร"
"ที่ไม่ใช่แค่สามารถยืนสง่าบนเวทีได้เท่านั้น แต่เราได้ภูมิใจกับมันด้วย นั่นคือคุณค่าที่ดีที่สุดในชีวิตของฉัน และอย่างฉันก็เรียน MBA ดังนั้นมันเป็นเวทีที่ฉันมาสามารถสร้างตัวเองขึ้นมาได้และก็โชว์ทั่วโลกว่าผู้หญิงที่สวยก็มาพร้อมสมองได้"
"น้ำใจ-รอยยิ้ม" สิ่งที่ทำให้คนไทยแตกต่าง
"ฉันมาอยู่เมืองไทยได้ 1 เดือนแล้ว ฉันสามารถพูดได้ว่ามันคือเดือนที่ดีที่สุดในชีวิตฉัน ฉันสามารถพูดได้ว่าประเทศไทยสวยงามขนาดไหน ทุกๆ โชคชะตาที่พาฉันมามันมีสเน่ห์ของมัน แต่ทุกๆ ครั้งที่มีคนถามว่าฉันได้อะไรจากประเทศไทยกลับไปบ้าง ฉันคิดว่ามันคือความใจดีของคนไทยที่ฉันได้เจอโดยไม่ต้องแคร์ว่าฉันคือใคร มาจากไหน"
"และไม่ต้องสนใจว่าฉันจะพูดภาษาอะไรและรู้เรื่องไหม ฉันได้รับความรักซึ่งมันมหัศจรรย์มากๆ และตอนนี้ถ้าฉันพูดถึงประเทศไทย แน่นอนว่าฉันจะพูดว่า อาหารไทยอร่อยมาก ที่นี่สวยและมันสนุกมาก ฉันเพิ่งจะรู้ว่าประเทศไทยทำไมถึงได้ชื่อว่าประเทศแห่งรอยยิ้ม และฉันก็ได้เข้าใจความหมายนั้น เมื่อคุณหันมองไปทางไหน ทุกคนก็จะมอบรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นให้คุณ"