สื่อจีนรายงานการแอบขายวัตถุดิบหมดอายุ ในร้านกาแฟแบรนด์ดัง Starbucks ทำให้ผู้คนเริ่มวิตกกังวลและร้านดังกล่าวถูกถล่มในโซเชียลมีเดียจนขึ้นเทรนด์อันดับหนึ่งใน Weibo
สตาร์บัคส์ เครือใหญ่ในสหรัฐฯเผยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า ได้สั่งปิดสตาร์บัคส์ 2 แห่งในประเทศจีนไป และกำลังดำเนินการตรวจสอบและสอบสวน หลังมีหนังสือพิมพ์ปักกิ่งนิวส์รายงานว่า พวกเขาใช้ส่วนผสมที่หมดอายุในการผลิตเครื่องดื่ม ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎความปลอดภัยด้านอาหาร
โดยเนื้อหาในหนังสือพิมพ์กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นที่ร้านค้า 2 แห่งในเมืองอู๋ซีทางตะวันออกของจีน
“เราได้รับเรื่องมาจากสื่อท้องถิ่นอีกทีหนึ่ง ที่ได้รายงานมาอย่างจริงจัง และร้านทั้งสองก็ถูกสั่งปิดทันทีเพื่อดำเนินการสอบสวนอย่างละเอียด” โฆษกของสตาร์บัคส์กล่าว
“ตั้งแต่สตาร์บัคส์เข้าสู่ตลาดจีนแผ่นดินใหญ่เมื่อ 22 ปีที่แล้ว เรามุ่งมั่นที่จะใช้มาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหารและผลิตภัณฑ์ที่เข้มงวด และใช้นโยบาย ‘ไม่ยอมรับ’ ต่อปัญหาด้านความปลอดภัยของอาหาร เรายินดีที่สมาชิกสื่อและสาธารณชนจะช่วยกันคอยกำกับดูแลอย่างต่อเนื่อง”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
การคว่ำบาตรโอลิมปิกฤดูหนาว 2022 ที่จีน กับท่าทีแต่ละประเทศยักษ์ใหญ่
เปิดหวูดรถไฟลาว-จีน พร้อมให้ บริการพี่น้องแห่งจิตวิญญาณแห่งประชาคม
บริษัทไม่ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับรายละเอียดของรายงาน เหตุการณ์ดังกล่าวกลายเป็นหัวข้อที่กำลังถูกพูดถึงบนเว็บไซต์ยอดนิยมของจีน Weibo อยู่ในขณะนี้
ผู้บริโภคและสื่อชาวจีนมีการใช้ถ้อยคำรุนแรง ในการปกป้องและเรียกร้องสิทธิ์ของลูกค้าและเริ่มติดตามจับตาดูพฤติกรรมของแบรนด์ใหญ่ๆ โดยเฉพาะแบรนด์จากต่างประเทศ
นอกเหนือจากอาหารและเครื่องดื่มก็พลอยถูกจับตาไปด้วย เช่น แบรนด์เสื้อผ้ากันหนาวจากแคนาดา (Canada Goose) ซึ่งถูกร้องเรียนเรื่องนโยบายการคืนเงิน และได้ถูกรัฐบาลจีนตำหนิตักเตือนไป ขณะที่แบรนด์จีน เช่น ร้านชานม Nayuoki ก็ได้รับความสนใจจากสาธารณชนเช่นกัน
ประเทศจีนเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับสตาร์บัคส์ที่แตกแขนงมาจากสหรัฐอเมริกา โดยจีนมีร้านสตาร์บัคส์ทั้งหมด 5,360 แห่ง ณ วันที่ 3 ต.ค. จากรายงานล่าสุดของบริษัท
รายงานของปักกิ่งนิวส์ระบุว่า สตาร์บัคส์ร้านหนึ่งใช้น้ำมัทฉะที่หมดอายุทำลาเต้ ในขณะที่อีกร้านหนึ่งนำขนมอบหรือคุ้กกี้ที่หมดอายุมาขายให้ลูกค้า
ในบ่ายวันจันทร์ หัวข้อการสนทนาของสตาร์บัคส์กับการรายงานของปักกิ่งนิวส์ ได้รับความสนใจจนมียอดคนมาร่วมแสดงความคิดเห็นกว่า 50 ล้านครั้ง ที่มีทั้งความผิดหวังและความวิตกกังวลกับปัญหาที่เกิดขึ้น
“ถ้าสตาร์บัคส์เป็นแบบนี้ ฉันก็กังวลว่าร้านอื่นๆอาจจะเป็นเหมือนกัน” ผู้ใช้งาน Weibo รายหนึ่ง กล่าว
แต่อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ทำให้ผู้บริโภคเริ่มจับตามองร้านค้าต่างๆมากขึ้น ว่าจะมีการเอาเปรียบผู้บริโภคเช่นนี้อีกหรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่ผู้บริโภคจะต้องเริ่มสังเกตการเอารัดเอาเปรียบจากธุรกิจร้านค้าต่างๆมากขึ้น เพื่อความปลอดภัยของตัวผู้บริโภคเอง
ที่มาข้อมูล REUTERS