เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ชี้สัญญาณอันตราย กรณีสภาพัฒน์ เปิดเผยว่ามีคนจนเพิ่มขึ้น 5 แสนคนในปี 2563 สะท้อนการบริหารงานที่ล้มเหลวของรัฐบาลบิ๊กตู่
เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย และผู้อำนวยการศูนย์นโยบายพรรคเพื่อไทย ชี้สัญญาณอันตราย กรณีสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่ามีคนจนเพิ่มขึ้น 5 แสนคนในปี 2563 ซึ่งสะท้อนการบริหารงานที่ล้มเหลวของรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา
อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจ เพราะจำนวนคนจนที่เพิ่มขึ้น ส่งผลต่อปัญหาหนี้สิน หนี้ในระบบไหลสู่หนี้นอกระบบ ที่จะส่งผลกระทบซึมลึกต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งบัตรคนจนของรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาความยากจนได้จริง
ความล้มเหลวในด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล
1. ความล้มเหลวในด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล ทำให้ไม่แปลกใจที่ตัวเลขคนจนปี 2563 เพิ่มขึ้น แต่แปลกใจในมุมมองของหน่วยงานภาครัฐที่ว่า คนจนน้อยกว่าคาดเพราะได้เงินรัฐเยียวยานั้นไม่ใช่เรื่องที่ควรพึงพอใจ เพราะการกู้มาแจกจนคนพ้นเส้นความยากจนนั้นสุดท้ายประเทศก็จะเป็นหนี้
ดังนั้นจึงต้องเข้าใจให้ชัดเจนก่อนว่า การเพิ่มขึ้นของจำนวนคนจนนั้นไม่ใช่เรื่องปกติ เป็นเรื่องที่ต้องกังวล และโดยปกติแล้วจำนวนคนจนควรลดลงทุกปี จากการพัฒนาการทางเศรษฐกิจ ถ้าปีไหนไม่ลด นั่นคือสัญญาณอันตราย
2. จำนวนคนจนเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 11.6 %
ตัวเลขคนจนที่เพิ่มขึ้นถึง 5 แสนคนนั้นน่าเป็นห่วง เพราะเพิ่มจากปีก่อนหน้าถึง 11.6% เทียบกับช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งที่คนจนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียง 6.2% ต่อปี สะท้อนความรุนแรงของวิกฤตครั้งนี้ที่เปอร์เซ็นต์คนจนเพิ่มขึ้นมากกว่าช่วงต้มยำกุ้งถึงเกือบ 2 เท่าตัว
3. ผลกระทบของปี 2564 ที่สาหัสกว่าปี 2563
คนจนที่เพิ่มขึ้น 5 แสนคนนั้น เป็นตัวเลขปี 2563 ซึ่ง ‘ยังไม่ได้สะท้อน’ ผลกระทบของปี 2564 ที่สาหัสกว่าปี 2563 มาก มีการระบาดของโรคที่มีผู้ติดเชื้อมากกว่าถึงกว่า 100 เท่า การล็อกดาวน์ต่อเนื่องยาวนานและหลายระลอกกว่า การปิดกิจการ การตกงานที่หนักหน่วงกว่า (Q3/64 มีคนว่างงานสูงสุดตั้งแต่มีการระบาด) ซึ่งผลกระทบเหล่านี้จะสะท้อนในตัวเลขคนจนที่จะเพิ่มขึ้นในปี 2564
4. คนจนเพิ่ม อย่าโทษโควิด
อย่าโทษว่าคนจนเพิ่มเพราะโควิด เพราะรัฐบาลปัจจุบัน และ คสช. ทำคนจนเพิ่มก่อนจะมีโควิดด้วยซ้ำ โดยเฉพาะช่วง คสช. ในปี 2558 – 2561 นั้น คนจน ‘เพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึงปีละ 11.7%’ เทียบเท่าช่วงวิกฤตในปัจจุบัน เปรียบเทียบกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรที่แก้จนสำเร็จ ทำให้ ‘คนจนลดลงเฉลี่ย 6.9% ต่อปี’
5. หนี้นอกระบบเพิ่มสูง
คนจนที่เพิ่มขึ้นนั้น ส่งผลต่อปัญหาหนี้ ซึ่งสะท้อนจากตัวเลขหนี้ครัวเรือน และที่น่ากังวลคือหนี้นอกระบบ ที่ปัจจุบันเพิ่มจากปี 2562 ถึง 52% นี่คือปรากฎการณ์ ‘หนี้ในระบบไหลสู่หนี้นอกระบบ’ ซึ่งอันตราย แก้ยากและส่งผลกระทบซึมลึกต่อเศรษฐกิจไทย
6. บัตรคนจนนั้น ไม่ใช่คำตอบของการแก้จน
พรรคเพื่อไทยแปลกใจและกังวลใจต่อแนวคิดของ สศช. ตามข่าวที่ว่า บัตรคนจนสามารถเป็นนโยบายระยะยาวต่อเนื่องไปได้ พรรคเพื่อไทยเห็นว่านโยบายในลักษณะหยอดเงิน หรือล่อคนด้วยเงินผ่านบัตรคนจนนั้น ไม่ใช่คำตอบของการแก้จน ไม่ควรเป็นนโยบายในระยะยาว เพราะไม่ได้สร้างผลบวกต่อเศรษฐกิจในระยะยาว ‘บัตรคนจน’ ควรจะถูกแทนที่ด้วย ‘บัตรสร้างงาน’ เพราะการสร้างงานเท่านั้นคือคำตอบการแก้จน ต้องเปลี่ยนการแจกเงินเป็นการแจกงาน
7. “นโยบาย 1 ข้าราชการ 1 ครัวเรือนยากจน” เลียนแบบแต่ไม่เข้าใจ
นโยบาย ‘1 ข้าราชการ 1 ครัวเรือนยากจน’ ของรัฐบาลนั้น เลียนแบบมาจากนโยบายแก้จนแบบตรงจุด (TPA) ของจีน แบบจำของเขามาพูดโดยไม่เข้าใจว่าต้องคิดให้ครบทั้งระบบ เริ่มจากการค้นหาปัญหาของคนยากจนในระดับรายบุคคล เชื่อมปัญหานั้นกับหน่วยงานที่ตั้งขึ้นพิเศษ ตั้งกองทุนเฉพาะเพื่อแก้จน การออกพันธบัตรเพื่อกระตุ้นการย้ายภาคการผลิต การเชื่อมกับสถาบันการเงินเพื่อให้ Microcredit รวมถึงสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัด และการจับให้ผู้ซื้อได้เจอกับผู้ขาย ทั้งหมดนี้ต้องคิดให้ครบวงจร เชื่อมนโยบายระดับ Macro กับ Micro ให้ผสานกัน อย่างเป็นระบบไม่ใช่จำเขามาพูดเป็นท่อนๆ
ที่มา พรรคเพื่อไทย