โฆษก ศบค. เตรียมเรียกนักท่องเที่ยวจากประเทศเสี่ยงสูง กว่าร้อยคน เข้าตรวจหาเชื้อโควิด-19 ซ้ำ หลังโควิดสายพันธุ์โอไมครอนระบาดหนัก ยัน เดินหน้าเปิดประเทศต่อ เร่งเข้มมาตรการขึ้น
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศบค. ระบุว่า เป็นนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขที่มีเป้าหมายฉีดวัคซีนให้ได้ 100 ล้านโดสภายในสิ้นปีนี้ ที่ถือว่าทำได้ใกล้เคียงและย้ำว่ามีวัคซีนเพียงพอ ซึ่งยังต้องวิเคราะห์การเข้าถึงวัคซีน ที่ยังมีอีกหลายปัจจัย อาทิ ชุดข้อมูลความเชื่อ, ระยะทางการเดินทางมารับวัคซีน และการเลือกชนิดวัคซีน ทุกข้อที่เป็นประเด็นอุปสรรคปัญหา
นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้ทำแผนงานสร้างชุดข้อมูลเพื่ออุดช่องว่างดังกล่าว เพื่อให้คนไทยได้รับวัคซีนได้มากที่สุดและยืนยันว่า ทั้งภาครัฐและเอกชนช่วยกันเต็มที่แต่ต้องขอความร่วมมือกับประชาชน โดยเฉพาะทางภาคอีสาน ที่มีตัวเลขการฉีดวัคซีนเพียงร้อยละ 50 โดยย้ำว่าขณะนี้ไทยมีวัคซีนที่หลากหลายจึงอีกทั้งยังมีสถิติออกมาว่าการฉีดวัคซีนจะมีภูมิคุ้มกัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ขณะที่สถานการณ์ การแพร่ระบาดโควิด-19 กลายพันธุ์ตัวใหม่ B.1.1.529 โอไมครอน นั้นนพ.ทวีศิลป์ได้เปิดเผยว่าทางกระทรวงสาธารณสุขมีการนำเสนอกับพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีในฐานะ ผอ.ศบค. ว่าขอคงมาตราการการตรวจรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศมาในลักษณะ RT-PCR อีกสักระยะ แทน ATK ที่เล็งจะปรับแผนก่อนหน้านี้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน
ส่วนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าจากประเทศเสี่ยงสูงมาก่อนหน้านี้จะมีการติดตามเพื่อตรวจซ้ำที่ได้รับรายงานว่าได้มีการติดตามกว่าประมาณ100คน
ส่วนกรณีที่ นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก ว่าวัคซีนสูตรไขว้สู้โควิดกลายพันธุ์โอไมครอนได้นั้น นพ.ทวีศิลป์ ระบุว่า คงต้องใช้เวลาในการศึกษา แต่ในฐานะที่ นพ.ยง เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านดังกล่าวก็ถือว่าเป็นข่าวดี แต่อย่างไรก็ต้องรอการศึกษาเป็นทางการซึ่งจะต้องเกิดขึ้นในหลายประเทศ
ขณะที่อาการของโอไมครอนนั้นมีข้อมูลว่ามีอาการปวดเมื่อย, จมูกไม่ได้กลิ่นและลิ้นไม่รับรส แต่อย่างไรก็ได้รับรายงานว่าเสียชีวิตซึ่งชุดข้อมูลยังไม่ชัดเจนว่ามีอาการหนักหรือเบากว่าสายพันธุ์อื่น หรือคล้ายไข้หวัดหรือไม่
อย่างไรก็ตามแต่ขอให้ประชาชนยังคงรักษามาตรการ และการ์ดอย่าตก เพื่อไม่ให้ส่งกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนและการท่องเที่ยวมากเกินไป ยืนยันว่ารัฐบาลและนายกรัฐมนตรีให้การดูแลอย่างเต็มที่
ส่วนแผนการเดินหน้าเปิดประเทศในระยะต่อไปยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่จะมีการเพิ่มมาตรการให้เข้มข้นขึ้นโดยนายกรัฐมนตรีได้มีการเกาะติดสถานการณ์อย่างใกล้ชิด