ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา เปิดเผยว่า โควิดสายพันธุ์ใหม่ B.1.1.529 ที่กำลังระบาดในประเทศแอฟริกาใต้ตอนนี้มีคุณสมบัติหลายประการที่น่ากังวล หวั่นไทยเตรียมตัวรับมือแบบจริงจัง อาจเป็นความท้าทายของปี65 ที่ต้องเหนื่อยกันต่อไป
27 พ.ย.64 ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก Anan Jongkaewwattana ระบุว่า ในมุมมองของนักไวรัสวิทยา ไวรัสสายพันธุ์ B.1.1.529 ที่กำลังระบาดในประเทศแอฟริกาใต้ตอนนี้มีคุณสมบัติหลายประการที่น่ากังวล ถึงแม้ข้อมูลการระบาดของไวรัสสายพันธุ์นี้ยังมีไม่มาก แต่การเตรียมการป้องกันไว้ล่วงหน้าคงจะดีกว่าการแก้ไขปัญหาหลังจากที่ไวรัสระบาดไปในวงกว้างแล้ว
ไวรัสสายพันธุ์นี้เชื่อว่าเกิดจากการบ่มเพาะตัวเองในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันไม่ดี ไวรัสมีโอกาสปรับตัวเองหนีภูมิคุ้มกันได้ง่าย ซึ่งเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับสายพันธุ์น่ากังวลอื่นๆที่ผ่านมา แต่ความน่ากังวลอยู่ที่ไวรัสชนิดนี้มีการกลายพันธุ์เกิดขึ้นหลายตำแหน่งมาก จนทำให้องค์ความรู้ต่างๆที่เคยมีมาก่อนกับไวรัสสายพันธุ์อื่นๆที่ใกล้เคียงกันอาจจะใช้อธิบายพฤติกรรมของไวรัสสายพันธุ์นี้ได้ไม่แม่นยำนัก ในบรรดาตำแหน่งที่พบการกลายพันธุ์ สรุปประเด็นหลักๆได้ดังนี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ที่ปรึกษาศบค. จับตา โควิดสายพันธุ์ใหม่ B.1.1.529 แนะเร่งฉีดวัคซีน
สวทช. ชวนมอบเงินทุน เพื่อทดสอบ "วัคซีนโควิด-19 แบบพ่นจมูก NASTVAC (แนสแว็ก)”
1. ตำแหน่งที่โปรตีนหนามสไปค์จับกับโปรตีนตัวรับ (RBD) มีการเปลี่ยนแปลงหลายตำแหน่งมากแบบที่ไม่เคยพบในสายพันธุ์อื่นๆมาก่อน ซึ่งทำให้แอนติบอดีที่สร้างขึ้นจากวัคซีนจะจับกับโปรตีนตำแหน่งนี้ไม่ได้ดี รวมถึงยาที่ออกแบบมาจากแอนติบอดีรักษาด้วย
2. ตำแหน่ง 3 ตำแหน่งที่ใกล้จุดตัดตัวเองของโปรตีนหนาม คือ H655Y, N679K และ P681H เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่อาจทำให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์ได้ง่ายและแพร่กระจายตัวเองได้ไวขึ้น
3. การเกิดขาดหายไปของกรดอะมิโนที่โปรตีนชื่อว่า Nsp6 (Delta 105-107) ซึ่งพบว่าไปตรงกับสายพันธุ์แอลฟ่า เบต้า แกมม่า และ แลมป์ดา ซึ่งเชื่อว่าช่วยให้ไวรัสหนีภูมิคุ้มกันชนิด innate immunity ที่ร่างกายจะตอบสนองต่อการติดเชื้อแบบฉับพลันหลังติดเชื้อได้
4. การเปลี่ยนแปลงของโปรตีน Nucleocapsid 2 ตำแหน่งสำคัญคือ R203K และ G204R ซึ่งพบได้ในสายพันธุ์แอลฟ่า แกมม่า และ แลมป์ดา ซึ่งมีรายงานว่า การเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้ไวรัสติดเชื้อเข้าสู่เซลล์ได้ดีขึ้น
ดูเหมือนว่าการกลายพันธุ์ที่พบได้ในไวรัส B.1.1.529 มีส่วนช่วยหนุนให้ไวรัสตัวนี้เป็นไวรัสที่อาจจะเป็นสายพันธุ์น่ากังวลตัวใหม่ได้ ข้อมูลจากแอฟริกาใต้ดูเหมือนจะพบไวรัสสายพันธุ์นี้มากขึ้นเรื่อยๆ และ กราฟที่ขึ้นสูงนี้อาจจะมาจากความสามารถของไวรัสที่หนีภูมิคุ้มกันจากวัคซีนได้ และ มีคุณสมบัติการแพร่กระจายที่ดี เราคงต้องเตรียมตัวรับมือกับไวรัสตัวนี้แบบจริงจังแล้ว ตัวนี้อาจจะเป็นความท้าทายของปี 2022 ที่ต้องเหนื่อยกันต่อไป