พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กังวล คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ การปราศรัยของแกนนำม็อบ เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 63 เป็นการล้มล้างการปกครอง จะขีดเส้นทางที่สุ่มเสี่ยงและคับแคบให้แก่สังคมไทย
จากกรณีที่เมื่อวานนี้ ศาลรัฐธรรมนูญ ได้วินิจฉัยว่า การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ซึ่งมีนายอานนท์ นำภา , นายภาณุพงศ์ จาดนอก และ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล เป็นผู้ปราศรัย เป็นการกระทำที่เป็นการล้มล้างการปกครองนั้น
ต่อมา พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก แสดงความคิดเห็น ดังต่อไปนี้
สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ จะขีดเส้นทางที่สุ่มเสี่ยงและคับแคบให้แก่สังคมไทย
ในขณะที่การประชุม Universal Periodic Review หรือ UPR ของสหประชาชาติเพื่อทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศต่างๆ หลายประเทศตั้งคำถามอย่างหนักหน่วงถึงท่าทีของประเทศไทยต่อเสรีภาพในการแสดงออก รวมถึงการแก้ไขหรือยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสากล โดยตัวแทนของประเทศไทยพยายามแก้ต่างกับนานาชาติว่าเรื่องกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นประเด็นที่คนไทยสามารถถกเถียงและแก้ไขกฎหมายได้ผ่านกลไกรัฐสภา
ตัดภาพกลับมาที่ศาลรัฐธรรมนูญในเวลาไล่เลี่ยกัน ศาลได้วินิจฉัยให้การกระทำรวมถึงข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมเพื่อขอให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ รวมถึงให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เข้าข่ายเป็นการกระทำเพื่อล้มล้างการปกครอง ซึ่งคำวินิจฉัยที่น่ากังขานี้ขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับสิ่งที่ตัวแทนประเทศไทยได้ชี้แจงกับนานาประเทศ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ด่วน! ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติว่า "รุ้ง-ไมค์-อานนท์" ล้มล้างการปกครอง : Breaking News
สมชัย ชำแหละ ไพบูลย์โมเดล จะส่งผลกระทบกับการเมืองไทยอย่างไร ?
อนุรักษ์นิยม VS เสรีนิยม ประวัติศาสตร์แห่งความขัดแย้งในสังคมไทย
สิ่งที่น่ากังวล คำวินิจฉัยของศาลฯ อาจจะนำพาสังคมไทยไปบนเส้นทางที่น่าเป็นห่วง
แต่ที่น่ากังวลไปกว่านั้น คือ ผลของคำวินิจฉัยในวันนี้อาจจะนำพาสังคมไทยมุ่งหน้าไปบนเส้นทางที่น่าเป็นห่วง สิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญทำในวันนี้เป็นมากกว่าคำวินิจฉัย แต่เป็นการขีดอนาคตประเทศไทยให้เดินไปตามเส้นทางที่สุ่มเสี่ยงและคับแคบ
พรรคก้าวไกลเชื่อเสมอว่า การปกป้องสิ่งหนึ่งไม่จำเป็นต้องทำลายอีกสิ่งหนึ่ง เราสามารถปกป้องสิ่งที่เรารักด้วยการพยายามปรับเข้าหากันบนฐานของเหตุและผล
ประเทศไทยไม่ได้อับจนหนทางขนาดที่ผู้มีอำนาจต้องกอดแน่นอยู่กับอดีต แล้วกระทำต่อผู้คนที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงในฐานะภัยต่อความมั่นคงของชาติ
ประเทศไทยไม่ได้อับจนหนทางขนาดที่ผู้มีอำนาจต้องมองคนรุ่นใหม่เป็นศัตรู แล้วหันปากกระบอกปืนเข้าใส่อนาคตของชาติ
ความพยายามที่จะทำลายอีกฝ่ายหนึ่งลงอย่างราบคาบของผู้มีอำนาจในห้วงเวลาที่ประเทศต้องการอนาคตมากที่สุดเช่นนี้ ไม่มีทางสร้างชาติที่มั่นคงได้เลย
สุดท้ายผมและพรรคก้าวไกลยังเชื่อว่าสังคมไทยยังพอมีเวลาที่จะเลือกทางเดินอีกแบบ เพื่อไปสู่อนาคตที่ชาติเป็นของคนทุกคนโดยเสมอหน้ากัน พวกเรายังยืนยันที่จะทำงานในฐานะผู้แทนราษฎรอย่างดีที่สุดเพื่อเดินทางไปข้างหน้าร่วมกันกับประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศนี้ ไม่ว่าเส้นทางนั้นจะยากลำบากเพียงใดก็ตาม