ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ โพสต์ อย่าปล่อยให้การประมูลรถไฟทางคู่เหนือ-อีสาน ผ่านแบบน่ากังขาและค้านสายตาประชาชน
ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตผู้ว่าฯ กทม. โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก กรณีข้อกังขาการประมูลรถไฟทางคู่สายเหนือและสายอีสาน โดยมีรายละเอียดดังนี้
มีการเสนอข่าวว่าการประมูลรถไฟทางคู่สายเหนือและสายอีสาน ที่กำลังถูกตรวจสอบโดยคณะกรรมการฯ ที่ท่านนายกฯ แต่งตั้งขึ้นมา อาจจะได้เดินหน้าต่อ ทั้งๆ ที่ยังมีข้อกังขาค้างคาใจของประชาชนทั้งประเทศ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง การประมูลโครงการอื่นในอนาคต คงได้เห็นราคาประมูลเฉียดฉิวราคากลาง ดังเช่นการประมูลรถไฟทางคู่สายเหนือและสายอีสานกันอีกแน่นอน
ข้อกังขามีอะไรบ้าง ?
การประมูลรถไฟทางคู่สายเหนือช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ วงเงิน 72,918 ล้านบาท และสายอีสานช่วงบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม วงเงิน 55,456 ล้านบาท รวมวงเงินทั้งหมด 128,374 ล้านบาท สร้างความกังขาให้กับประชาชนทั้งประเทศ ดังนี้
1. จำนวนสัญญาการประมูลเท่ากับจำนวนผู้รับเหมาขนาดใหญ่พอดี
สายเหนือแบ่งการประมูลออกเป็น 3 สัญญา ส่วนสายอีสานแบ่งออกเป็น 2 สัญญา รวมเป็น 5 สัญญา เท่ากับจำนวนผู้รับเหมาขนาดใหญ่ที่สามารถเข้าประมูลได้พอดี ซึ่งในการประมูลที่เกิดขึ้นก็มีผู้รับเหมาขนาดใหญ่เข้าประมูล 5 ราย และชนะการประมูลทุกราย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เคาะประมูลรถไฟทางคู่สายเหนือ-สายอีสาน สูงกว่าสายใต้ลิ่ว
รถไฟทางคู่-รถไฟความเร็วสูง หน่วยงานเดียวกัน แต่ทำไมประมูลต่างกัน ?
สามารถ เผย ประมูลรถไฟทางคู่สายเหนือ-อีสาน งานเข้า เพราะข้อกำหนดในทีโออาร์
2. ราคาประมูลต่ำกว่าราคากลางเท่ากัน
2.1 สายเหนือ ประมูลเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2564
ราคากลาง 72,918 ล้านบาท ราคาที่ได้จากการประมูล 72,858 ล้านบาท นั่นคือประหยัดค่าก่อสร้างได้เพียง 60 ล้านบาท เท่านั้น คิดเป็น 0.08%
2.2 สายอีสาน ประมูลเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564
ราคากลาง 55,456 ล้านบาท ราคาที่ได้จากการประมูล 55,410 ล้านบาท นั่นคือประหยัดค่าก่อสร้างได้แค่ 46 ล้านบาท เท่านั้น คิดเป็น 0.08% เท่ากันกับสายเหนืออย่างน่ากังขายิ่ง
นายกรัฐมนตรีตั้งกรรมการตรวจสอบ
จากความกังขาที่เกิดขึ้นทำให้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการประกวดราคาการก่อสร้างทางรถไฟทางคู่สายเหนือ-สายอีสาน ขึ้นมาในวันที่ 17 มิถุนายน 2564
คณะกรรมการฯ ได้เชิญผู้เกี่ยวข้องไปให้ข้อมูล แม้ผลการตรวจสอบยังไม่เป็นที่เปิดเผย แต่กลับมีกระแสข่าวออกมาว่ามีสัญญาณที่ดีต่อการรถไฟแห่งประเทศไทย นั่นคือได้เดินหน้าต่อ ไม่ต้องประมูลใหม่
ผมไม่เชื่อข่าวดังกล่าวจนกว่าจะได้รับฟังจากท่านนายกฯ หรือคณะกรรมการฯ แต่อยากฝากให้คณะกรรมการฯ ตรวจสอบการคัดค้านขอบเขตของงาน (ทีโออาร์) โดยผู้สังเกตการณ์ตามข้อตกลงคุณธรรม
ผู้สังเกตการณ์คัดค้านอะไร?
ในการประมูลรถไฟฟ้าทางคู่สายเหนือและสายอีสาน การรถไฟฯ ได้ลงนามในข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) กับผู้เข้าร่วมประมูล และผู้สังเกตการณ์จากองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ภายใต้โครงการความร่วมมือป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
ข้อตกลงคุณธรรมเป็นการตกลงร่วมกันระหว่างการรถไฟฯ กับผู้เข้าร่วมประมูลว่าจะไม่กระทำการทุจริตในการประมูล โดยมีผู้สังเกตการณ์เข้าร่วมสังเกตการณ์ทุกขั้นตอนตั้งแต่ขั้นตอนการจัดทำร่างขอบเขตของงาน (ร่างทีโออาร์) ร่างประกาศเชิญชวน จนถึงขั้นตอนสิ้นสุดการประมูล
ผู้สังเกตการณ์เป็นบุคคลภายนอกหรือภาคประชาสังคมที่มีความเชี่ยวชาญ ความรู้ และประสบการณ์ซึ่งจำเป็นต่อการประมูลรถไฟทางคู่ และจะต้องมีความเป็นกลาง ไม่มีส่วนได้เสียกับการประมูล
ทราบมาว่าผู้สังเกตการณ์ต้องการให้การรถไฟฯ แยกงานติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณออกจากงานก่อสร้างทางรถไฟเช่นเดียวกับการประมูลรถไฟทางคู่สายใต้ ซึ่งได้ผลดี ทำให้การรถไฟฯ สามารถประหยัดค่าก่อสร้างได้ 5.66% ของราคากลาง แต่การรถไฟฯ ไม่ยอมทำตาม
เหตุใดการรถไฟฯ จึงไม่ทำตามข้อเสนอแนะของผู้สังเกตการณ์? หากคำชี้แจงของการรถไฟฯ ฟังไม่ขึ้น หรือมีพฤติกรรมที่ส่อไปในทางทุจริตหรืออาจนำไปสู่การทุจริตได้ ผู้สังเกตการณ์จะต้องรายงานต่อ ACT เพื่อให้ ACT รายงานต่อฝ่ายเลขานุการคณะอนุกรรมการในคณะกรรมการความร่วมมือป้องกันการทุจริต (ค.ป.ท.) พิจารณาดำเนินการต่อไป
สรุป
ผมไม่ได้คัดค้านการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายเหนือและสายอีสาน ในทางกลับกันผมต้องการให้การรถไฟฯ เร่งลงมือก่อสร้าง เพราะเห็นว่ารถไฟทางคู่จะช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการขนส่งได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญ รถไฟทางคู่จะผลักดันการขนส่งของประเทศไทยไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ถึงเวลาแล้วที่จะต้องขับเคลื่อนประเทศด้วยระบบราง
ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าผลการตรวจสอบของคณะกรรมการฯ จะออกมาอย่างไร จะให้เดินหน้าต่อหรือจะให้ประมูลใหม่ จะต้องหาทางทำให้การรถไฟฯ ประหยัดค่าก่อสร้างได้อย่างน้อย 5.66% ของราคากลาง (เท่ากับการประมูลรถไฟทางคู่สายใต้) ซึ่งคิดเป็นเงิน 7,266 ล้านบาท ไม่ใช่ 0.08% ของราคากลาง ซึ่งคิดเป็นเงินเพียง 106 ล้านบาทเท่านั้น ดังที่ได้จากการประมูลที่น่ากังขาและฉาวโฉ่
มิฉะนั้น จะเป็นบรรทัดฐานในการประมูลที่สร้างความกังขาให้กับประชาชนว่าเป็นการสมยอมราคา (ฮั้ว) กันหรือไม่? แต่ถ้าภาครัฐมองว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามกฎหมายก็จะค้านกับสายตาของประชาชน และขัดกับเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการให้รัฐและประชาชนได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากการประมูล” ทั้งหมดนี้ ขอฝากความหวังไว้ที่กรรมการทุกท่าน