กระทรวงสาธารณสุข เปิดแผนการเรียนอย่างปลอดภัย แซนด์บ็อกซ์ เซฟตี้โซน ในโรงเรียน (Sandbox Safety Zone in School) มาตรการในโรงเรียน พร้อมเน้นย้ำสถานศึกษาต้องประเมินความเสี่ยงของบุคลากรทางการศึกษาและนักเรียนเป็นประจำ
นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยถึง มาตรการ แซนด์บ็อกซ์ เซฟตี้โซน ในโรงเรียน (Sandbox Safety Zone in School) ไป-กลับ ว่า แนวทางดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ-กรมอนามัย-กระทรวงสาธารณสุข ที่กำหนดรูปแบบการเรียนการสอนในโรงเรียน สิ่งสำคัญคือ จะคำนึงถึงพื้นที่การระบาดในสถานศึกษาที่ตั้งอยู่
และดำเนินมาตรการสาธารณสุขอย่างเข้มงวด รวมถึง ต้องจำกัดคนเข้าออกให้มีการคัดกรองด้วยชุดตรวจด้วยตัวเอง หรือ ATK / หากอยู่ในพื้นที่สีแดง-สีแดงเข้ม ต้องจัดทำ School Pass ข้อมูลความเสี่ยงของครู-นักเรียนทุกคน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
กรมอนามัย เผย โรงเรียน เป็นสิ่งที่ประชาชนอยากให้เปิดมากที่สุด
ดราม่าสนั่น! เงินเดือนครู มข. หาคุณวุฒิป.เอก แต่ค่าจ้าง 21,000 บาท
รมว.ยุติธรรม แจงปมจนท.ราชทัณฑ์เรียกเงินนักโทษ สั่งสอบวินัยร้ายแรง
ข่าวดี! กทม.จับมือ สปสช. แจกชุดตรวจ ATK ให้คนกรุงกลุ่มเสี่ยงฟรี เริ่ม 16 ก.ย.
- จังหวัดพื้นที่สีเขียว ให้เข้มมาตรการสาธารณสุข 6 ข้อ (DMHC) และมาตรการเสริม, การเข้าถึงวัคซีนครูและบุคลากรต้องรับวัคซีนไม่น้อยกว่าร้อยละ 85, และต้องมีการประเมินความเสี่ยง 1 วันต่อสัปดาห์
- พื้นที่เฝ้าระวังสูง พื้นที่สีเหลือง ยังคงมาตรการสาธารณสุข ให้มีการตรวจ ด้วยชุดตรวจคัดกรองโควิด-19 ด้วยตัวเอง หรือ ATK 1 ครั้งต่อสัปดาห์, ครูบุคลากรฉีดวัคซีนไม่น้อยกว่าร้อยละ 85, ประเมินความเสี่ยง 1 วันต่อสัปดาห์
- พื้นที่ควบคุม สีส้ม คงมาตรการสาธารณสุขตรวจ ATK 1 ครั้งต่อสัปดาห์, ครู-บุคลากรฉีดวัคซีนไม่น้อยกว่าร้อยละ 85, ประเมินความเสี่ยง 2 วันต่อสัปดาห์
-ส่วนพื้นที่ควบคุมสูงสุด พื้นที่สีแดง คงมาตรการสาธารณสุขอย่างเข้มงวด แต่ต้องเพิ่มในมาตรการโดยรอบโรงเรียนด้วย เช่น สถานประกอบกิจการ, กิจกรรมรอบรั้วสถานศึกษาในระยะ 10 เมตร ต้องผ่านการประเมินความเสี่ยงฟรี, มีการจัด School Pass สำหรับเด็กนักเรียนครูและบุคลากร คือ ข้อมูลความเสี่ยงแต่ละบุคคล มีผลการตรวจ ATK หรือประวัติการได้รับวัคซีน หรือประวัติที่เคยติดเชื้อในช่วง 1-3 เดือน, หากจะเปิดเรียน ต้องจัดกลุ่มนักเรียนต่อห้องเรียนขนาดปกติไม่เกิน 25 คน, ตรวจ ATK 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์, ครูบุคลากรต้องได้รับวัคซีนร้อยละ 85-100, รวมถึงนักเรียนและให้มีการประเมินความเสี่ยงตามวันต่อสัปดาห์
- ส่วนพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดพื้นที่สีแดงเข้ม ให้คำนึงและปฏิบัติตามมาตรการข้อ 1 ถึงข้อ 5, ตรวจ ATK 2 ครั้งต่อสัปดาห์, ครู-บุคลากรและนักเรียนต้องได้รับวัคซีนร้อยละ 85-100, ให้ประเมินความเสี่ยงทุกวัน
สำหรับ 7 มาตรการหลักหากต้องเปิดเรียน
- สถานศึกษาประเมินความพร้อมเปิดเรียนผ่าน Thai Stop covid และรายงานการติดตามประเมินผล
- การทำกิจกรรมร่วมกันในรูปแบบ Small Bubble (เน้นกลุ่มเล็ก)
- การจัดระบบให้บริการอาหารตามหลักสุขาภิบาลและหลักโภชนาการ
- การจัดการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมให้ได้เกณฑ์มาตรฐาน
-จัดให้มี School isolation แผนเผชิญเหตุ
- ควบคุมดูแลการเดินทางไปกลับของนักเรียน เช่น รถรับส่งรถส่วนบุคคล และพาหนะโดยสารสาธารณะ
- จัดให้มี School Pass สำหรับนักเรียนครูและบุคลากรในสถานศึกษา ประกอบด้วย ข้อมูลผลการประเมินของครู และนักเรียนผลการตรวจ ATK ภายใน 7 วัน ประวัติการรับวัคซีน
หากโรงเรียนจำเป็นที่จะต้องเปิด สิ่งสำคัญ คือ จะต้องจำกัดคนเข้าออกให้มีการคัดกรองด้วยชุดตรวจด้วยตัวเอง หรือ ATK, จัดกิจกรรมแบบกลุ่มเล็กหลีกเลี่ยงการสัมผัสกลุ่มใหญ่, มีการรายงานผลสุ่มตรวจประเมินความเสี่ยงครูและนักเรียนทุก 14 วันหรือ 1 เดือนต่อภาคเรียน, เข้มงวดมาตรการทางสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อมรวมถึงมาตรการทางสังคม หากพบการติดเชื้อในโรงเรียนให้ปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุของกระทรวงสาธารณสุข
สำหรับการติดเชื้อในครูและนักเรียนที่ผ่านมา พบว่า ส่วนใหญ่เกิดจากไม่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันที่ได้กำหนด อีกทั้งโรงเรียนประจำส่วนหนึ่งจะมีบุคลากรภายนอกเข้าออก หรือมีบุคลากรทางการศึกษาเดินทางไปกลับแล้วไม่คัดกรองความเสี่ยง และไม่มีระบบ แซนด์บ็อกซ์ เซฟตี้โซน ในโรงเรียน (Sandbox Safety Zone in School) รวมถึงกรณีที่หอพักมีความแออัด
สำหรับสถานการณ์การติดเชื้อในกลุ่มวัยเรียนและวัยรุ่น ในช่วงอายุ 16-18 ปี มีผู้ติดเชื้อสะสม 129,165 คน ในจำนวนนี้ร้อยละ 90 เป็นคนไทย อีกร้อยละ 10 เป็นชาวต่างชาติ มีผู้เสียชีวิตสะสม 15 คน ส่วนใหญ่เป็นโรคประจำตัวร่วม
- กลุ่ม12-18ปี ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 จำนวน 74,932 คน เข็มที่ 2 จำนวน 3,241 คน
- ครู-บุคลากร สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้รับวัคซีนเข็ม 1และเข็ม2 จำนวนรวม 897,423 คน
- กลุ่มเด็ก 12-18 ปี ที่มีโรคประจำตัวที่รับวัคซีนไฟเซอร์ เข็ม1 อยู่ที่ 74,932 คน เข็ม2 จำนวน 3,241 คน
ทั้งนี้ พบว่า ตั้งแต่มีการระบาดระลอกเดือนเมษายนเป็นต้นมาพบว่าสถานการณ์ผู้ติดเชื้อในเด็กกลุ่มนี้มีอัตราสูงขึ้นทุกเดือน โดยสิงหาคม เดือนเดียว ติดเชื้อสะสม อยู่ที่ 69,628 คน
อธิบดีกรมอนามัย ระบุอีกว่า แนวโน้มผู้ติดเชื้อในกลุ่มเด็กวัยเรียนวัยรุ่นถึงแม้จะไม่มีการเปิดให้เรียนตามโรงเรียนก็ตามแต่ก็ยังพบการติดเชื้อสูง ซึ่งการติดเชื้อส่วนหนึ่งมาจากการติดเชื้อในครอบครัวและการเดินทางไปสัมผัสผู้ติดเชื้อ