สื่อนอกอย่าง นิวยอร์กไทม์ส ถอดบทเรียนการแพร่ระบาดโควิด19 คลัสเตอร์ทองหล่อ ที่ร้ายแรงที่สุดในประเทศไทย จากโมเดลที่องค์การอนามัยโลกยกย่องกลายเป็นจุดระบาดที่สุดแห่งหนึ่งบนโลก ระบาดในหมู่คนรวย แต่คนจนหาเช้ากินค่ำรับผลกระทบ
จากกรณีที่สื่อชื่อดังของเมืองนอกอย่างนิวยอร์กไทม์ ตีแพร่บทความการระบาดของโควิด19 ระลอกที่หนักที่สุดในประเทศไทยอย่าง คลัสเตอร์ทองหล่อ จากการระบาดเป็นวงกว้างโดยเฉพาะชนชั้นอีลิตของไทย ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรี นักธุรกิจ นักลงทุน นักการทูต และทหารยศสูง รวมไปถึงเหล่าสาวสวยที่ทำงานในไนท์คลับ
การปาร์ตี้สุดเหวี่ยง หลงมัวเมาไปกับแสงสีเสียงที่เกินต้านทาน ทำให้มาตรการป้องกันโควิด19 ไม่อาจยับยั้งความสุขแห่งชีวิตกลางคืนได้
ซึ่งที่ผ่านมา คนไทยส่วนใหญ่ได้ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมอย่างเคร่งขรัด ทว่าความประมาทจากกลุ่ม VVIP เพียงกลุ่มเล็กๆ กลับส่งกระทบไปในวงกว้างอย่างเทียบไม่ได้
ส่งผลให้ประเทศไทยตกอยู่ภายใต้การล็อกดาวน์อย่างเข้มงวด มีผู้ติดเชื้อรายใหม่นับพันต่อวัน จากประเทศที่ติดเชื้อเพียงหลักพันกลับพุ่งทะบานสู่หลักแสนในเวลาอันรวดเร็ว (ปัจจุบันติดเชื้อกว่า 1.7 แสนราย) แต่จุดสำคัญคือกลุ่มคนที่เป็นตัวการกลับไม่ได้รับโทษใดๆ
แม้ว่าศาลพิพากษาจำคุก 2 เดือน สำหรับผู้จัดการสองไนท์คลับในคดีละเมิดพระราชกำหนดฉุกเฉินโควิด แต่ขณะนี้ยังไม่มีใครถูกตั้งข้อหา ตำรวจกล่าวเพียงแค่ว่าพวกเขากำลังตรวจสอบว่าการค้าประเวณีผิดกฎหมายในประเทศไทยอาจเกิดขึ้นในสองคลับหรือไม่ ตัวแทนของทั้งสองคลับปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น
ความแปลกคือ เอกมัยและทองหล่อ ถือเป็นแหล่งรวมชนชั้นนำของประเทศ แต่ผู้คนที่อยู่ในนั้นกลับมีชุมชนแออัดริมทางรถไฟรวมอยู่ด้วย นอกจากนี้เอกมัยและทองหล่อตั้งอยู่ในเขตวัฒนา ซึ่งก็มีชุมชนคลองเตย หนึ่งในชุมชนแออัดที่ใหญ่ที่สุดของกรุงเทพ ซึ่งเป็นเพียงชาวบ้านหาเช้ากินค่ำ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำทางสังคมอย่างสุดขีด เพราะชุมชนแออัดเหล่านี้ได้รับผลกระทบเต็มๆ จากการระบาดโควิด19 รอบดังกล่าว
จากประเทศที่เคยเป็นโมเดลโลกยกย่องโดยนานาประเทศและองค์การอนามัยโลก กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีโควิด19 แพร่ระบาดหนักมากที่สุด ประกอบกับแผนกระจายวัคซีนของรัฐบาลที่ล่าช้าและเรียกได้ว่าอาจผิดพลาดที่รัฐบาลเลือกจะใช้วัคซีนแอสตราเซนเนก้าเป็นหลัก แต่วัคซีนกลับไม่มาส่งตามที่ทำสัญญาไว้
ประเทศไทยยังไม่ได้เริ่มฉีดวัคซีนทั่วประเทศอย่างเต็มรูปแบบ และมีประชากรที่ได้รับวัคซีนไปแล้วไม่ถึง 2% และมีชาวกรุงเทพฯที่ร่ำรวยสองสามคนคุยโวบนโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับการซื้อบัตรฉีดวัคซีนจากผู้อยู่อาศัยที่สิ้นหวังที่สุดในเมือง
หนึ่งในผู้ให้สัมภาษณ์ของบทความนิวยอร์กไทม์ กล่าวเอาไว้ว่า "คนรวยที่มีอภิสิทธิ์อยู่แล้วกำลังเหยียบย่ำคนจน พวกเขาเชื่อว่าเงินของพวกเขาสามารถซื้ออะไรก็ได้" เป็นการทิ้งท้าย