"จตุพร พรหมพันธ์ุ" ออกโรงเตือนอีกครั้ง การชุมนุมนักศึกษาอย่าให้เลยเถิดเกิน 3 ข้อที่เรียกร้อง ย้ำหากก้าวข้ามจุดยืนมีบรรลัยเหมือน 6 ตุลาฯ 2519
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวเมื่อวันที่ 13 ส.ค. ที่ผ่านมา ระบุถึงความสังหรณ์ว่าอีกไม่กี่วันข้างหน้า สถานการณ์ไม่พึงปรารถนาจะเกิดขึ้น ดังนั้น อยากย้ำถ้านักศึกษายังไม่ถอยจากประเด็นที่นอกเหนือไปจาก 3 ข้อเรียกร้องแล้ว จะกลายเป็นปัญหาลุกลามมากที่สุด
สถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้ สิ่งที่พยายามอธิบายทางการเมือง คือ ข้อเรียกร้องต้องให้ประชาชนเข้าร่วมได้อย่างสะดวกใจ และถ้ายึดข้อ 3 เรียกร้อง คนจะเข้าร่วมนับแสน แต่สถานการณ์ถัดจากนี้ เมื่อภูมิต้านทานหายไป จึงเร่งเกิดเหตุการณ์ในขั้นนับวันเท่านั้น ไม่ได้นับเดือน หรือปี ดังนั้น แต่ละขบวนการทางการเมือง จะนำไปสู่หายนะทั้งสิ้น และถ้าสุดโต่งของทั้งสองฝ่ายมาเจอกัน ก็ต้องบรรลัยแบบ 6 ตุลาฯ 2519
"เมื่อการต่อสู้ต้องการ 3 ข้อเป็นภารกิจหลัก โดยสังคมตอบรับแล้ว ปัญหาคือไปทะลุเพดานจาก 3 ข้อเรียกร้องทำไม เพราะในสังคมต่างก็รู้อยู่ว่าต้องขีดเส้นใต้ให้อยู่ระหว่างสามัญชนเท่านั้น ไม่ต้องข้องเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ ด้วยเหตุนี้ ตนเชื่อว่าปลายทางหนีไปไม่พ้น" นายจตุพร กล่าว
ทั้งนี้ สาระสำคัญของการต่อสู้อยู่ที่ความชอบธรรม ใครถือความชอบธรรมมากกว่า คนนั้นจะได้รับความถูกต้องในสนามการต่อสู้ทางการเมือง ไม่ใช่ทางการทหาร ดังนั้น การยึด 3 ข้อต่อสู้เป็นความชอบธรรมทางการเมืองอย่างเบ็ดเสร็จ เป็นภูมิต้านทาน เพราะการชุมนุมอยู่ที่ประเด็น ไม่ได้อยู่ที่หน้าตาคนชุมนุม แต่ถ้าประเด็นสูญเสียความชอบธรรมไป ระยะทางจะสั้นลง
นายจตุพร กล่าวต่อว่า ส่วนตัวมีความห่วงใย และที่พยายามอธิบายนั้น ไม่ต้องการให้เกิดสิ่งไม่คาดคิดขึ้น เพราะประวัติศาสตร์ประกาศไว้ชัด และในทางการเมืองถ้าดูเพียงปรากฎการณ์เฉพาะหน้า ไม่มีวันจะเข้าใจในสถานการณ์ที่เป็นจริงได้หลายคนอาจบอกว่าตนหาความเดือดร้อน แต่มองว่าไม่ใช่ความเดือดร้อน แต่ต้องการจะบอกว่าสู้อย่างไร จึงจะรักษาความแข็งแรงของขบวนการนักศึกษาเป็นชัยชนะที่ประกาศชัดมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์เรื่องราวเหล่านี้ ถ้าไม่คิดอ่านกัน จะนำพาไปสู่สถานการณ์ต่างๆมากมาย และระยะเวลาอีกไม่กี่วันต่อไปนี้แต่ละฝ่ายต้องติดตามสถานการณ์กัน ที่พูดไม่ได้ให้กลัว แต่ต้องการให้คิด ว่าสถานการณ์ที่เป็นจริงนั้นคืออะไร และคนที่เสนอสุดทาง ต้องมาอยู่ร่วมรับผิดชอบด้วย เพราะสิ่งสำคัญสุด คือ สถานการณ์ทางการเมืองต่อไปนี้ ไม่ได้แตกต่างจากปรากฎการณ์สึนามิ ดังนั้น การพูดเพื่อเตือนสติกัน ถ้าเป็นนักประชาธิปไตยจริงต้องทนรับฟังได้
"ในอีกไม่กี่วันนี้ นักศึกษาจัดชุมนุมที่อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย ฝ่ายปกป้องสถาบันจัดที่อนุเสารีย์ชัยสมรภูมิ ถ้านึกย้อนไปปี 2549 แค่ประกาศชุมนุมก็มีเหตุผลที่จะประกาศปฏิบัติการแล้ว ว่าเพื่อไม่ให้คนไทยฆ่ากัน ดังนั้น สถานการณ์กำลังเดินไปในทิศทางที่ตนบอกว่า ปลายทางไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่หลังจากนั้นจะเกิดสถานการณ์อะไรอีก" นายจตุพร กล่าว
ส่วนการประเมินทางการเมืองอย่าคิดข้างเดียว และวันนี้การกำหนดก้าวย่างของนักศึกษา ประชาชน และฝ่ายรัฐ ต้องตระหนักว่า เป็นคนไทย คนรุ่นลูกรุ่นหลาน ไม่ว่าจะพูดอะไร ทำการอะไร ก็เป็นคนไทย อยู่แผ่นดินเดียวกัน ดังนั้น ต้องลดเงื่อนไขโดยไม่จำเป็น ถ้านักศึกษายืน 3 ข้อชัดเจน รัฐไม่มีสิทธิมาดำเนินการอะไรได้เลย เพราะได้ถือความชอบธรรมไว้
ในสถานการ์ที่เปราะบางนี้ รัฐต้องใช้หลักเมตตาธรรม และต้องมีความเข้าใจ โดยตลอดเวลา 15 ปีการชุมนุม แต่ละฝ่ายได้เปลี่ยนแปลงกันมาตลอด แต่ฝ่ายความมั่นคงไม่เคยเปลี่ยน ดังนั้น การรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆ เห็นมาสารพัด และเมื่ออ่านทางการเมืองตามปรากฎนั้น สถานการณ์จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย
นายจตุพร กล่าวต่อว่า เมื่อความต้องการที่มีอยู่เดิมถูกต้อง และทุกฝ่ายให้การยอมรับ แต่เดินไปในสิ่งที่เป็นปัญหาแล้ว สร้างความอึดอัดให้ตัวเอง จนสถานการณ์เลยเถิด ซึ่งหวังว่า ขบวนการคนหนุ่มสาวจะได้กลับไปคิด หรือไม่คิดก็ตาม แต่หวังว่าจะเข้าใจว่าอะไรควร อะไรไม่ควร อะไรชนะ อะไรแพ้ อะไรนำไปสู่จุดหายนะ อะไรนำไปสู่ความสำเร็จ ตนไม่ได้ตำหนิอะไร เพียงแต่บอกว่าเสียดายการต่อสู้
"บรรดากองเชียร์หัวหงอก หัวดำทั้งหลาย ช่วยกันคิดด้วย ว่าเกิดสถานการณ์ปลายทางที่พูดมานั้น คุณจะรับผิดชอบไหวหรือไม่ มันไม่ได้เกิดกับคุณ มาลอยหน้าลอยตาอยู่ได้ แต่เกิดความเยาวชนคนหนุ่มสาวที่เป็นพลังและงดงามที่สุด คุณไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือ หรือว่าคุณไม่เข้าใจสถานการณ์อะไรเลย ถามจริงคุณไม่รู้ผลลัพธ์หรือ คุณต้องการอะไร ผมไม่เชื่อว่าคุณโง่ขนาดนั้น" ประธาน นปช. กล่าว