iPrice ร่วมกับ Team Digital เผย Facebook Ads คือเทรนด์การตลาดมาแรงที่อาจช่วยคุณกู้ภัย Covid-19 ได้
เมื่อ Google กลายเป็นตัวชี้ชัดค่าความนิยมของเว็บไซต์ การทำ SEO จึงถือเป็นเงาตามตัวของวงการ Digital Marketing เลยก็ว่าได้ ยิ่งตามเทรนด์กระชั้นชิดเท่าไหร่ เว็บไซต์ของคุณก็ยิ่งเป็นที่รู้จักด้วยผลการค้นหาติดหน้าแรกบน Google มากเท่านั้น แม้กระแส Social Media ในไทยจะมาแรง แต่ร้อยทั้งร้อยเมื่อมีคำถาม คำตอบที่ได้ก็มักจะมาจากการค้นหาผ่าน Google เป็นด่านแรก ก่อนที่จะแสดงผลลัพธ์ซึ่งอาจเป็นเว็บไซต์ หรือการโพสบนโลกโซเชียลที่มีคีย์เวิร์ดตรงกับการค้นหา ด้วยเหตุนี้ SEO จึงเป็นตัวแปรสำคัญที่แม้ทั่วโลกจะโดนวิกฤต Covid-19 โจมตี แต่การค้นหาบน Google ไม่มีวันหยุด หากเหล่าเจ้าของธุรกิจไม่อยากปิดฉากธุรกิจของตนเองลง ยังไงก็ต้องสำรองทุนเพื่อทำ SEO หรือ Digital Marketing สายอื่นๆ เอาไว้บ้าง
กระตุ้นให้ iPrice Group บริษัทอีคอมเมิร์ซเปรียบเทียบราคาสินค้าออนไลน์แบบครบวงจรที่มีแพลตฟอร์มกว่า 7 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จับมือกับ Team Digital (บริษัท ทีมดิจิทัล จำกัด) สถาบันจัดอบรม สัมนาการตลาดออนไลน์ เผยเทรนด์ Digital Marketing ฝ่าวิกฤต Covid-19 จับตลาด New Normal ให้อยู่หมัด ซึ่งก็เป็นไปตามคาดว่าความสนใจในตัว Facebook Ads ของคนไทยดูจะมีมากกว่าการตลาดออนไลน์ประเภทอื่น โดยมีผู้เข้าอบรม 22.81% แบ่งเป็นนามบริษัท 38% และในนามบุคคล 62%
5 อันดับคอร์สการตลาดออนไลน์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด
จากข้อมูลของ Team Digital พบว่า นอกจากคอร์ส Facebook Ads แล้ว คนไทยยังสนใจคอร์สการตลาดออนไลน์อื่น ๆ เพิ่มเติม โดยมี 5 อันดับคอร์สที่ได้รับความนิยมสูงสุดดังนี้
• Facebook Ads มีผู้สนใจเลือกเรียนสูงถึง 22.81% ในจำนวนคอร์สทั้งหมด 9 ประเภท เพราะ Facebook เป็น Social Media ที่คนไทยเลือกใช้ในการแชร์ข้อมูล เรื่องราว รวมไปถึงการหารายได้มากที่สุด ถึงแม้ Facebook จะมีช่องทางแชทด้วย แต่ส่วนใหญ่คนไทยจะเลือกใช้งาน LINE แยกต่างหากเพื่อการแชทมากกว่า การทำ Digital Marketing ผ่านช่องทาง LINE จึงมีบทบาทที่สำคัญไม่ต่างกัน ทาง อ.วุธ สรกฤช พิชยดนัยกุล – ผู้เชี่ยวชาญและผู้สอนคอร์ส Facebook Ads & Marketing ของ Team Digital เผยว่า “เมื่อการตลาดออฟไลน์โดนมรสุม Covid-19 เล่นงาน ผู้ประกอบการจึงปรับเข้าหาการตลาดออนไลน์มากขึ้น” การยิง Facebook Ads จึงเป็นเหมือนการลงทุนเพื่อให้ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายเห็นผลิตภัณฑ์หรือการบริการของคุณมากที่สุด แต่การจะยิง Facebook Ads ให้คุ้มค่า ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายก็ควรต้องตามกฎระเบียบ และ Algorithm อัพเดตใหม่ๆ และบ่อยครั้งของ Facebook ให้ทัน ด้วยเหตุนี้ ผู้สนใจเรียนทั้งในนามองค์กรและบุคคลจึงเลือกเรียนคอร์ส Facebook Ads มากที่สุด
• SEO เป็นคอร์สที่ได้รับความนิยมรองจาก Facebook Ads มีผู้ร่วมอบรมคิดเป็น 15.35% ของคอร์สเรียนทั้งหมด สำหรับผู้ที่เคี่ยวกรำในวงการ SEO จะรู้ดีว่า การทำ SEO ไม่ใช่เพียงการเลือกคีย์เวิร์ดมาเขียนบทความหรือทำคลิป YouTube เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการปรับโครงสร้างต่าง ๆ บนเว็บไซต์เพื่ออำนวยความสะดวกให้ Google Bot เข้ามารวบรวมและบันทึกข้อมูลของเว็บไซต์ และมอบคะแนน SEO ให้กับเว็บไซต์มากขึ้น อันตามมาด้วยการติดหน้าแรกๆ บน Google สอดคล้องกับคำกล่าวของ อ.ต้น จตุพล ทานาฤทัย - ผู้ก่อตั้ง (Founder) ผู้เชี่ยวชาญ และผู้สอนคอร์ส SEO ของสถาบัน Team Digital ที่ว่า “การทำ Search Marketing เพื่อกู้ภัย Covid-19 ตอนนี้ควรเน้น Organic Search Traffic จากการทำ SEO มากกว่า Paid Search Ads เพื่อประหยัดงบประมาณให้องค์กร และต้องปรับโครงสร้างเว็บไซต์ให้เข้าตากรรมการอย่าง Google Bot อีกด้วย” ส่งผลให้คอร์ส SEO มีผู้สนใจเรียนในนามบริษัทมากกว่าคอร์สอื่นๆ (รองเพียง Facebook Ads) เพราะองค์กรมักต้องการวางรากฐานเพื่อผลลัพธ์ในระยะยาวมากกว่าผู้ค้ารายบุคคลที่เน้นหาเงินทุนจากจากการขายสินค้าก่อนถึงจะนำมาลงทุนกับการทำ SEO เต็มรูปแบบได้
• Advanced Digital Marketing เป็นคอร์สสอนการวางกลยุทธ์ให้ครอบคุลมการทำการตลาดออนไลน์ ส่วนใหญ่ผู้สนใจเข้าร่วมคอร์สนี้มักมีพื้นฐานเบื้องต้นมาบ้างแล้ว แต่ต้องการทราบทฤษฎีและกลยุทธ์การวางแผนเพิ่มเติม คอร์สนี้จึงมีผู้สนใจเป็นอันดับที่สาม คิดเป็น 14.5% ของผู้เข้าร่วมอบรมทั้งหมด และยังเป็นคอร์สที่มีผู้เรียนนามบริษัทมากที่สุดอีกด้วย
• LINE OA หรือ LINE Official Account เมื่อก่อนอาจดูเหมือนง่ายหากต้องการทำการตลาดผ่าน LINE แต่เมื่อช่วงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2563 ที่ผ่านมา LINE อัพเดตเป็น LINE OA ที่มาพร้อมฟีเจอร์มากมาย แต่ก็มาพร้อมค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นด้วย การที่ LINE เป็นแอพฯ ที่คนไทยเลือกใช้บริการแชทมากที่สุดทำให้ผู้ประกอบการน้อยใหญ่ยังนิยมลงทุน และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตอบแทนคุ้มค่าที่สุด การตามเทรนด์ฟีเจอร์อัพเดตของ LINE OA จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
• Shopee/Lazada แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ตีตลาดไทยได้อยู่หมัด ผู้ค้าน้อยใหญ่ล้วนพากันหารายได้จากการวางขายสินค้ากับทั้งสองแพลตฟอร์มนี้ กลายเป็นเทรนด์ค้าขายที่เข้ามาตีตลาดออนไลน์ในไทยแบบไม่ทันตั้งตัว ยิ่งในช่วงปิดประเทศป้องกัน Covid-19 ที่ทำให้ผู้ค้าออฟไลน์ขาดรายได้ แพลตฟอร์มขายสินค้าทั้งสองนี้จึงเป็นเหมือนตัวช่วยหารายได้ คอร์สนี้จึงมีผู้เข้าร่วมอบรมมากเป็นอันดับที่ 5 (10.87%)
ผู้เชี่ยวชาญการตลาดออนไลน์ชี้เทรนด์ประจำปี 2020 ฝ่าวิกฤต Covid-19
เพราะ Facebook Ads และ SEO เป็นคอร์สที่ได้รับความนิยมสูงสุด iPrice จึงได้สัมภาษณ์คณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญจาก Team Digital เพื่อสอบถามเทรนด์ประจำปี 2020 เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้ประกอบการที่สนใจ Digital Marketing ทั้งสองรูปแบบนำไปประยุกต์ใช้งานฝ่าวิกฤต Covid-19 ไปด้วยกัน ดังนี้
• เทรนด์ SEO กู้ภัย Covid-19 กับเทคนิคปรับโครงสร้างเว็บไซต์ทั้ง 11 ส่วน ให้เตะตา Google
อ.ต้น จตุพล ทานาฤทัย - ผู้ก่อตั้ง (Founder) ผู้เชี่ยวชาญ และผู้สอนคอร์ส SEO สถาบัน Team Digital เผยว่า เทรนด์ SEO กู้ภัย Covid-19 ตอนนี้ควรเน้นเพิ่ม Organic Search Traffic ให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งการเขียนบทความถือเป็นเคล็ดลับดั้งเดิมที่ยังได้ผลชะงัด แม้จะยังไม่มีตำราบอกกฎตายตัวว่าหนึ่งบทความควรมีความยาวเท่าไหร่ถึงจะดีที่สุด แต่ก็ควรทำ Research เล็กๆ ก่อนเขียน เช่น นำคีย์เวิร์ดหลักไปค้นหาใน Google แล้วจับเว็บไซต์ Top 10 มาหารเฉลี่ยความยาวของบทความ เป็นต้น และนอกจากใส่คีย์เวิร์ดหลักเข้าไปใน H1 แล้ว อย่าลืมตั้งค่า H2-H6 (คล้ายกับคำถามที่พบบ่อย หรือหัวข้อย่อย) ลงไปด้วย ในปัจจุบันการค้นหาด้วยเสียงผ่านผู้ช่วยส่วนตัวอย่าง Siri หรือ Google Assistant และอื่น ๆ กำลังได้รับความนิยม (สถิติในสหรัฐอเมริกาพบมากถึง 50%) โดยการค้นหาด้วยเสียงนี้ Google จะเน้นหาผลลัพธ์จาก Featured Snippet ซึ่งเป็นข้อความสั้น ๆ บนเว็บไซต์ที่มีประโยชน์มากกว่าที่คิด
นอกจากนี้ยังมีการปรับโครงสร้างของเว็บไซต์ (On Page) กว่า 11 ส่วน ที่ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและผลการค้นหาในสายตา Google ได้ ดังนี้
1) Mobile-Friendliness คือระบบเว็บไซต์ที่รองรับการแสดงผลบนมือถือ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ใช้งานหน้าเว็บ (Page Experience) ที่ Google ใช้ในการจัดอันดับเว็บต่างๆ
2) HTTPS Security (SSL) คือการเข้ารหัสความปลอดภัยข้อมูลของเว็บไซต์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ใช้งานหน้าเว็บ (Page Experience) ที่ Google ใช้ในการจัดอันดับเว็บต่างๆ
3) Page Speed คือ ความเร็วของการโหลดหน้าเว็บ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ Google ใช้ในการจัดอันดับ ได้รับความนิยมหลังจาก Google อัพเดท Algorithm ที่ชื่อว่า Mobile Speed Update ในวันที่ 9 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นมา
4) Technical SEO คือการปรับโครงสร้างทางเทคนิคของเว็บไซต์ เพื่อให้ Google Bot เข้ามาบันทึกข้อมูลในเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น
5) Search Intent หรือ Keyword Intent คือวิธีการเขียนคอนเทนต์ตามคีย์เวิร์ดหรือความต้องการของผู้ใช้งาน Google โดยยึดหลัก SEO และใส่คอนเทนต์นั้น ๆ เข้าไปในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ (Keyword Mapping) เช่น หน้าโฮมเพจ, หน้าหมวดหมู่, หน้าสินค้า, หน้าบทความหรือ Blog และหน้าที่เสนอบริการฟรี ๆ ให้ลูกค้า เป็นต้น
6) Core Web Vitals คือหน้าเว็บที่มอบประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้ โดยมุ่งเน้นด้านการโหลด การโต้ตอบ และความเสถียรของภาพ ประกอบด้วย Largest Contentful Paint (LCP) คือการวัดประสิทธิภาพการโหลด, First Input Delay (FID) คือการวัดการโต้ตอบ และ Cumulative Layout Shift (CLS) คือการวัดความเสถียรของภาพ ซึ่ง Google จะนำเอา Core Web Vitals มาเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ใช้งานหน้าเว็บ (Page Experience) ที่ใช้ในการจัดอันดับเว็บต่าง ๆในปี 2021
7) RankBrain คือ Algorithm ของ Google ที่เป็น AI โดยจะประมวลผลจากประสบการณ์ใช้งานของผู้ใช้ (UX signals) ที่มีต่อผลการค้นหา (SERP) ของ Google การปรับเว็บไซต์และคอนเทนท์ให้เข้ากับ RankBrain เป็นสิ่งสำคัญถ้าอยากให้เว็บไซต์ติดอันดับดี ๆ เป็นเวลานาน
8) Schema Mark Up คือการเขียนโปรแกรมหรือ Coding เข้าไปในเว็บไซต์ เพื่อให้ Google แสดงข้อมูลจากเว็บไซต์ได้มากขึ้น เช่น คะแนนรีวิว, จำนวนการรีวิว, วัน, เวลา และราคา เป็นต้น เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ และเพิ่มอัตราการคลิกเข้าสู่เว็บไซต์จากผลการค้นหา (SERP) ของ Google
9) E-A-T Rating โดยย่อมาจาก E = Expertise คือความชำนาญหรือเชี่ยวชาญ, A = Authoritativeness คือการได้รับการยอมรับจากผู้อื่น และ T = Trustworthiness คือความน่าเชื่อถือ E-A-T Rating จึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก ๆ สำหรับ SEO และการเพิ่ม Conversion Rate ในตอนนี้
10) Link Building & Social Signals ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดของการทำ SEO ยิ่งคุณภาพของเว็บไซต์ที่สร้างลิงค์ให้มีความน่าเชื่อถือมากเท่าไหร่ Google ยิ่งจัดอันดับให้เว็บไซต์ของลิงค์ปลายทางน่าเชื่อถือมากเท่านั้น รวมถึง Backlinks จาก Social Media ด้วย
11) Conversion Rate Optimization คือการปรับเว็บไซต์เพื่อให้เกิด Conversion เพิ่มมากขึ้น บางเว็บไซต์ติดอันดับ SEO ดี แต่รายได้ซึ่งเป็นปัจจัยหลักของการทำธุรกิจไม่มาก็ถือว่าไม่ประสบความสำเร็จ
• 4 ข้อควรรู้ถ้าอยากตามเทรนด์ Facebook Ads ให้ทันคู่แข่ง
อ.วุธ สรกฤช พิชยดนัยกุล – ผู้เชี่ยวชาญและผู้สอนคอร์ส Facebook Ads & Marketing สถาบัน Team Digital เผยว่า ในปี 2020 นี้ ถือเป็นปีแห่งความโชคร้ายของตลาดออฟไลน์ การซื้อขายออนไลน์เข้ามามีบทบาทมากขึ้น Facebook Ads จึงกลายเป็นเครื่องมือที่บริษัทน้อยใหญ่ต้องลงทุนทำความรู้จักเพื่อชักนำลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเข้ามาซื้อบริการ และเหมือน Facebook จะทราบถึงความต้องการนี้ เพราะมีการประกาศปรับโครงสร้างและกฎเกณฑ์หลาย ๆ อย่างเพิ่มความยากในการทำโฆษณา ซึ่งถ้าใครไม่ตามเทรนด์ประกาศของ Facebook อาจโดนปิดกั้นการมองเห็นเสียเวลาไปฟรี ๆ แต่ 4 ข้อควรรู้เหล่านี้อาจช่วยคุณได้
1) การซื้อสินค้าจาก Lazada & Shopee เติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดด แต่การลงโฆษณาหรือยิงแอดใน Lazada & Shopee จะมีผู้ชนะเพียง 5-10 คนเท่านั้น และขึ้นอยู่กับราคาประมูลต่อคลิกด้วย ทำให้เจ้าใหญ่คว้าชัยชนะไปครอง Facebook Ads จึงกลายเป็นกำลังเสริมที่บางครั้งอาจได้ผลกว่าการลงทุนโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเป้าหมายโดยตรงด้วยซ้ำ
2) ขายผ่าน Inbox ง่ายขึ้น แต่ก็ต้องใส่ใจรายละเอียดมากขึ้นด้วย ไม่ว่าจะการบริการ หรือการให้ข้อมูลควรลงทุนใช้คนจริง ๆ ตอบ อย่าใช้บอทสร้างความรำคาญให้ลูกค้าเด็ดขาด แม้เรื่องราคาจะสำคัญ แต่การบริการสำคัญกว่ามาก
3) ศึกษาข้อมูลก่อนยิง Ads เช่น อายุ, เพศ, จังหวัด, ช่วงเวลา และมือถือ เป็นต้น ปัจจัยสำคัญเหล่านี้ทำให้คุณเลือกยิง Ads จับกลุ่มเป้าหมายได้อยู่หมัดกว่าเดิม
4) CBO สำคัญ แต่ต้องใช้ให้เป็น อย่าเชื่อการจัดงบประมาณของ Facebook เพราะถึงแม้มันจะเน้นตัวที่ถูกที่สุด แต่อาจไม่ใช่ตัวที่ขายได้ ควรทำภาพและคำโฆษณาใส่เข้าไปทดสอบเยอะ ๆ ยิ่งทำร่วมกับ Conversion Pixel ยิ่งดี แล้วค่อยเพิ่มงบประมาณลงไปที่หลัง
Google’s May 2020 Core Update กับอะไรที่นักการตลาดออนไลน์ควรรู้
Core Update หรือการอัพเดตหลักของ Google เกิดขึ้นเมื่อ Google ทำการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญและกว้างขวางเกี่ยวกับระบบอัลกอริทึม (Algorithm) ในการจัดอันดับ และระบบค้นหาใหญ่ (Search System) ของ Google การอัปเดตเหล่านี้มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ และนำเสนอเนื้อหาที่เกี่ยวข้องมีประโยชน์และเชื่อถือได้มากขึ้น โดยปกติแล้วการอัพเดตหลักจะเกิดขึ้นปีละหลายครั้งและได้รับการยืนยันจาก Google เช่นเดียวกับครั้งล่าสุดเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2563 ที่ผ่านมา ซึ่งทาง Team Digital ได้สรุป 5 ไฮไลท์สำคัญม่ให้นักการตลาดออนไลน์เตรียมรับมือ ดังนี้
1. Self -Made Links หรือลิงก์ที่สร้างเอง เช่น Sponsored, Guest Post, Niche Edits, PBN (เครือข่ายเว็บของตัวเอง) มีความสำคัญน้อยลง
2. Google ใช้อัลกอริธึมชื่อ BERT เพื่อทำความเข้าใจว่าลิงก์ใดคือ Organic Link หรือ Link ที่ไม่มีแนวโน้มว่ามาจากการแลกเปลี่ยน หรือใช้เงินซื้อ
3. Google ปรับเกณฑ์ในการให้คะแนน E-A-T ใหม่ โดยเฉพาะ E (Expertise) หรือความชำนาญ ให้แก่ Author หรือผู้เขียนบทความ ยกตัวอย่างเช่น การเขียนรีวิวสินค้า แทนที่จะบอกข้อมูลสินค้านั้น ๆ ที่พบเห็นในเว็บไซต์ต่าง ๆโดยทั่วไป แต่อาจมีการเพิ่มประสบการณ์ใช้งานจริงเพื่อเพิ่มคะแนนความน่าเชื่อถือลงไปด้วย
4. Content ที่เป็นลักษณะการวิจัยเบื้องต้น (Initial Research) อันดับจะดีขึ้นมากกว่าเดิม
5. เว็บไซต์ประเภท ข่าว, ตัวแทนขายสินค้า (Affiliates) และเว็บที่เนื้อหาสั้นมาก ๆ (Thin Content) ส่วนใหญ่จะเป็นผู้แพ้ (Losers) ใน May 2020 Core Update ครั้งนี้
การศึกษาข้อมูล
iPrice ได้รับการสนับสนุนข้อมูลจำนวนผู้เข้าร่วมอบรมสัมมนาการตลาดออนไลน์ และบทสัมภาษณ์เทรนด์การตลาดออนไลน์ต่าง ๆ เช่น SEO, Facebook Ads, LINE OA และ YouTube จากสถาบันจัดอบรมสัมนาการตลาดออนไลน์บริษัท ทีมดิจิทัล จำกัด (Team Digital)
เขียน และวิเคราะห์โดย
ขนิษฐา สาสะกุล