SHORT CUT
Nomophobia หรือที่เราเรียกกันว่า โรคติดมือถือ, โรคกลัวการขาดมือถือ นั้น เป็นความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นเมื่อขาดการเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือ หรือรู้สึกว่าโทรศัพท์มือถือไม่อยู่ใกล้ตัว
Nomophopia (โนโมโฟเบีย) หรือ No Mobilephone Phobia โดยคำว่า โน ( No ) แปลว่า ไม่ คำว่า โม ( Mo- ) ย่อมาจาก โมบายโฟน (Mobile Phone) ส่วนคำว่า โฟเบีย ( Phobia ) แปลว่า ความกลัว
เป็นอาการของคนที่กลัว เมื่อไม่มีโทรศัพท์มือถือใช้ โรคนี้ยังไม่ได้ระบุเป็นโรคทางจิตเวชอย่างเป็นทางการ แต่อาจจะเป็นชื่อกลุ่มโรคได้ในอนาคตเมื่อมีการศึกษาเพิ่มเติมที่มากขึ้น
สาเหตุของ Nomophobia ส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์มือถือในปัจจุบันที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้ว และเราใช้โทรศัพท์มือถือในการติดต่อสื่อสาร ทำงาน และเข้าถึงข้อมูลต่างๆ มากมาย จนทำให้เราขาดไม่ได้และเกิดความผูกพันกับมัน
การเล่นมือถือมากเกินไปนั้นส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต ลองมาดูกันว่าการใช้มือถือมากเกินไปจะส่งผลเสียอะไรบ้าง
ปัญหาสายตา: แสงสีฟ้าจากหน้าจอโทรศัพท์สามารถทำลายจอประสาทตาได้ ทำให้เกิดอาการตาแห้ง ตาแดง ปวดตา และในระยะยาวอาจนำไปสู่โรคเกี่ยวกับตาได้
ปวดเมื่อยร่างกาย: การก้มหน้าเล่นมือถือเป็นเวลานานทำให้เกิดอาการปวดคอ ปวดหลัง ปวดไหล่ และปวดข้อมือ
การนอนไม่หลับ: แสงสีฟ้าจากหน้าจอโทรศัพท์รบกวนการหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้นอนหลับได้ดี
ผิวหนัง: การใช้มือถือมากเกินไปอาจทำให้ผิวหน้าหมองคล้ำ เกิดริ้วรอยก่อนวัย และอาจมีสิวขึ้นได้
ความเครียด: การได้รับข่าวสารมากมายจากโซเชียลมีเดียอาจทำให้เกิดความเครียดและกังวล
ภาวะซึมเศร้า: การเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นบนโซเชียลมีเดียอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า
สมาธิสั้น: การกระตุ้นจากการแจ้งเตือนต่างๆ บนโทรศัพท์ทำให้เสียสมาธิในการทำงานหรือเรียน
ความสัมพันธ์: การใช้เวลากับโทรศัพท์มากเกินไปอาจทำให้ละเลยความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
นอกจากนี้ การใช้มือถือมากเกินไปยังอาจส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็ก เนื่องจากเด็กจะใช้เวลากับการเล่นเกมส์หรือดูคลิปวิดีโอมากเกินไป จนขาดโอกาสในการทำกิจกรรมอื่นๆ ที่มีประโยชน์
การติดมือถือเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในยุคนี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายและจิตใจ รวมถึงความสัมพันธ์กับผู้อื่น การเลิกติดมือถืออาจฟังดูยาก แต่ด้วยวิธีการเหล่านี้ คุณจะสามารถควบคุมการใช้โทรศัพท์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ตั้งเวลา: กำหนดเวลาที่ชัดเจนสำหรับการใช้มือถือในแต่ละวัน และพยายามปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
สร้างพื้นที่ปลอดมือถือ: กำหนดพื้นที่บางแห่งในบ้าน เช่น ห้องนอน หรือโต๊ะอาหาร เป็นพื้นที่ห้ามนำโทรศัพท์เข้าไป
ใช้แอปพลิเคชันช่วย: มีแอปพลิเคชันมากมายที่ช่วยในการติดตามและจำกัดเวลาการใช้โทรศัพท์
พัฒนานิสัยใหม่: หาสิ่งที่สนใจทำ เช่น อ่านหนังสือ ออกกำลังกาย เล่นดนตรี หรือทำอาหาร เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากโทรศัพท์
ใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติ: ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ เดินสวนสาธารณะ หรือทำกิจกรรมกลางแจ้งอื่นๆ
พบปะผู้คน: สังสรรค์กับเพื่อนฝูง ครอบครัว หรือเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มต่างๆ
ปิดการแจ้งเตือน: ปิดการแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็น เพื่อลดความอยากที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู
วางโทรศัพท์ให้ห่างตัว: วางโทรศัพท์ไว้ในที่ที่เข้าถึงยาก เช่น ในลิ้นชัก หรือกระเป๋า เมื่อไม่ได้ใช้งาน
อ่านหนังสือ: หันมาอ่านหนังสือแทนการเล่นโทรศัพท์ จะช่วยให้คุณผ่อนคลายและได้ความรู้ไปพร้อมกัน
ใช้นาฬิกาปลุกแทนมือถือ: ลองเปลี่ยนจากการตั้งปลุกด้วยโทรศัพท์มือถือมาเป็นนาฬิกาปลุกแบบดั้งเดิมแทน
เก็บมือถือตอนกินข้าว: ลองเก็บมือถือใส่กระเป๋า แล้วสนใจกับอาหารบนโต๊ะ เน้นพูดคุยกับเพื่อนๆ หรือครอบครัวดู จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ให้ดียิ่งขึ้นด้วย
เก็บมือถือเวลาขับรถ: งดหยิบมือถือขึ้นมาเล่นขณะติดไฟแดง หากจำเป็นต้องใช้ Google Map เพื่อดูเส้นทาง ควรจอดรถชิดข้างทางในที่อนุญาตให้จอด เพื่อเช็คเส้นทาง หรือติดตั้งอุปกรณ์ยึดติดโทรศัพท์มือถือเพื่อความปลอดภัยขณะขับรถ
นักจิตวิทยา: หากคุณรู้สึกว่ามีปัญหาในการควบคุมการใช้โทรศัพท์ อาจปรึกษานักจิตวิทยาเพื่อขอคำแนะนำ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง