ในการแข่งขันฟุตบอล “ผู้รักษาประตู (Goalkeeper)” คือปราการด้านสุดท้ายของทีม ที่มีหน้าที่ป้องกันไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามเตะลูกบอลเข้าไปตุงตาข่าย ทำให้ตำแหน่งนี้ต้องแบกความรับผิดชอบ และคามกดดันมโหฬาร
เพราะถ้าพลาดพลั้งแม้แต่นิดเดียวอาจนำมาสู่ความพ่ายแพ้ได้ ซึ่งผู้รักษาประตูอาจตกเป็นแพะรับบาปของเพื่อนในทีม และอาจถูกสาปแช่งจากผู้ชมข้างสนามและผู้ชมทางบ้านไปตลอดชีวิตที่เหลือได้ไม่ยาก
เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น นายทวารจึงต้องกล้าตัดสินใจโดยไม่ลังเล ก่อนที่จะสายเกินไป แต่การเซฟลูกบอลในขณะที่มีผู้เล่นคนอื่นพร้อมจะแย่งมันไปได้ทุกเมื่อนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นผู้ที่อยู่ในตำแหน่งนี้จึงต้องมีประสาทสัมผัสที่ไวกว่าคนทั่วไป
ทั้งนี้ มหาวิทยาลัย Dublin City ในไอร์แลนด์ ได้สงสัยว่า ที่ผู้รักษาประตูสามารถตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพภายในเสี้ยววินาทีได้นั้น เป็นเพราะบังเอิญ หรือว่าเป็นความสามารถเฉพาะตัวของพวกเขา กันแน่?
ทางมหาวิทยาลัย Dublin City ได้ทำการทดสอบโดยคัดเลือก ผู้รักษาประตูมืออาชีพ 20 คน คน ผู้เล่นนอกสนาม 20 คน และผู้ที่ไม่ได้เล่นฟุตบอลอาชีพอีก 20 คน ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นผู้ชาย
ผู้เข้าร่วมการทดสอบแต่ละคนจะได้เห็นแสงแฟลชในระยะเวลาสั้นๆ พร้อมด้วยเสียง ‘บี๊บ’ 1-2 ครั้ง หรือไม่ดังเลย ซึ่งทุกคนต้องรายงานว่าพวกเขาเห็นแสงแฟลชกี่ครั้ง โดยในการทดสอบ แสงแฟลชจะกะพริบ 1 ครั้ง พร้อมกับเสียง ‘บี๊บ’ ที่ดังขึ้น 2 ครั้ง เพื่อหลอกล่อให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบเข้าใจผิดว่ามีแสงแฟลชกะพริบ 2 ครั้ง เนื่องจากสมองของคนเรามักจะรวมภาพและเสียงเข้าด้วยกัน หากทั้งสองสิ่งนี้เกิดในเวลาใกล้เคียงกันมาก
จากการทดสอบพบว่า ผู้รักษาประตูมืออาชีพ สามารถระบุจำนวนแสงแฟลช ได้แม่นยำกว่ามาก เมื่อเทียบกับผู้เล่นฟุตบอลในตำแหน่งอื่น และผู้ที่ไม่ได้เล่นฟุตบอล นั่นหมายความว่า การที่ผู้รักษาประตูสามารถเซฟลูกยากๆ ได้ เพราะพวกเขา หูไว ตาไวกว่าผู้เล่นคนอื่นๆ จริง ไม่ใช่แค่บังเอิญไปยืนถูกที่ถูกทางเท่านั้น
นอกจากนี้ ผู้รักษาประตูยังมีวิธีแยกแยะ และวิเคราะห์ภาพที่เห็นได้ดีกว่า ซึ่งเหมาะกับเอาไว้ใช้แก้ไขสถานการณ์ยากๆ ในสนาม เช่นเมื่อผู้เล่นฝั่งตรงข้ามเตะลูกบอลมาหา สมองของนายประตูจะคำนวณค้นหาทิศทางลูกบอลอัตโนมัติ ทั้งจากภาพที่เห็น และการฟังเสียงตอนที่ฝ่ายตรงข้ามเตะ หรือถ้ามีผู้เล่นฝ่ายเดียวกันยืนขวางอยู่ นายประตูจะเปลี่ยนไปใช้การฟังอัตโนมัติ ซึ่งเป็นกลไกของสมองที่ประมวลผล และลงมือทำ ภายในเสี้ยววินาที
อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัย Dublin City ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ว่า พลังแฝงของบรรดานายทวารทั้งหลายนี้ เกิดจากการฝึกฝนต่อเนื่องหลายปี หรือเพราะเป็นความสามารถที่มีมาตั้งแต่กำเนิด ซึ่งเป็นสิ่งที่ทางทีมวิจัยกำลังค้นคว้าต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง