ทำความรู้จัก เทรนด์ชีวิตคู่ “DINK” หรือ "Double Income, No Kids" “มีเรา ไม่มีลูก” และการวางแผนชีวิต เพื่อความสุขอย่างยั่งยืน
ด้วยอัตราการลดลงของประชากรทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย ก็สะท้อนให้ถึงไลฟ์สไตล์ “ชีวิตคู่” ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งในอดีตสำหรับคู่สามีภรรยาแล้ว “การมีลูก” เป็นสิ่งสำคัญ เพราะหมายถึงการเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์
แต่ปัจจุบัน นิยามคำว่า “ครอบครัว” ได้เปลี่ยนแปลงไป หลายๆ คู่รักเลือกที่จะ “ไม่มีลูก” ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเนื่องมาจากสภาพทางเศรษฐกิจ ที่ต้องใช้ทรัพย์สินจำนวนไม่น้อย กว่าจะเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งให้เติบโตขึ้นมาได้อย่างมีคุณภาพ
แต่ข้างต้นก็ไม่ใช่เหตุผลที่สำคัญสำหรับบางครอบครัว เพราะก็มีคู่รักจำนวนไม่น้อย แม้จะมีหน้าที่การงานที่ดี มีฐานะการเงินมั่นคง แต่ก็ไม่อยากมีลูก เพราะต้องการให้เวลาชีวิตกับด้านอื่นๆ มากกว่า โดยไลฟ์สไตล์ชีวิตคู่อย่างนี้นี่แหละ ที่เรียกว่า “DINK” ซึ่งมาจากคำว่า "Double Income, No Kids" หรือ "Dual Income, No Kids" นั่นเอง
และจากการที่คู่รัก “DINK” ทั้งคู่รักหญิง - ชาย รวมถึงคู่รัก LGBTQ จะทำงานสร้างรายได้ทั้ง 2 คน ทำให้เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อค่อนข้างสูง หลายธุรกิจไม่ว่าจะเป็นสินค้า Luxury แบรนด์เนม ธุรกิจท่องเที่ยว แพ็คเกจโรงแรมหรู ประกันชีวิต ผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนต่างๆ ฯลฯ จึงได้มีการทำตลาดกับคู่รักกลุ่มนี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
บทความที่น่าสนใจ
คน Gen Y เป็น “เดอะแบก” ห่วง การเป็นเสาหลักของครอบครัว และใช้ชีวิตไม่เต็มที่
Fatboy Izakaya ความสนุกวัฒนธรรมของญี่ปุ่น และโมเดิร์นตะวันตก
เที่ยว “ฮ่องกง” ฉบับหน้าร้อน แจกแพลนพร้อมกิจกรรม“เที่ยว-ชิม-ชม-แชะ”
โดยสิ่งที่คู่รักกลุ่ม “DINK” ต้องคำนึงก็คือความมั่นคงทางการเงินอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเงินออมที่จะใช้ในวัยชรา ดังนั้นการวางแผนการเงินที่รัดกุมตั้งแต่เนิ่นๆ จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ซึ่งในบทความ “Double Income No Kids คืออะไร? ทำไมถึงเป็นเทรนด์ในยุคนี้” ของ Krungsri The COACH ก็ได้มีข้อแนะนำ 5 ขั้นตอนในการวางแผนการเงินฉบับ Double Income No Kids (DINK) ที่น่าสนใจ ดังต่อไปนี้
1. กระเป๋าเงินเธอ + กระเป๋าเงินฉัน = กระเป๋าเงินของเรา
โดยบทความดังกล่าวได้ให้คำแนะนำว่า คู่รัก “DINK” เมื่อตกลงใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน ควรเปิดอกคุยกันเรื่องการเงินของแต่ละฝ่าย ทั้งรายได้ ทรัพย์สิน และหนี้สิน ค่าใช้จ่ายของแต่ละคนที่ต้องใช้ในแต่ละเดือน และสามารถแบ่งเป็นเงินออมได้เดือนละเท่าไหร่ โดยให้นำเงินส่วนนี้มารวมกันให้กลายเป็น “กระเป๋าเงินของเรา”
2. วางแผนเป้าหมายระยะสั้น เพื่อสร้างความสุขให้กับชีวิตในแต่ช่วง ด้วยกระเป๋าเงินของเรา
ทั้งคู่ควรวางแผนเป้าหมายระยะสั้นร่วมกัน เช่น การท่องเที่ยวต่างประเทศ จะต้องใช้เงินเท่าไหร่ เพื่อเติมพลังให้กับชีวิต โดยแบ่งเงินจาก “กระเป๋าเงินของเรา” มาใช้ในส่วนนี้
3. วางแผนเป้าหมายระยะยาว ด้วยกระเป๋าเงินของเรา
การใช้ชีวิตคู่แบบ “DINK” แม้ช่วงวัยทำงานจะมีข้อดีมากมาย แต่ต้องเตรียมความพร้อมด้านการเงินในช่วงหลังเกษียณ ที่หลักๆ แล้ว ทั้งคู่ต้องดูแลซึ่งกันและกัน จึงจำเป็นต้องมีเงินออมในจำนวนที่มั่นใจได้ว่า จะสามารถใช้ชีวิตยามชราได้อย่างราบรื่น
4. การลงทุนร่วมกัน ด้วยกระเป๋าเงินของเรา
ในช่วงที่ทั้งคู่ยังอยู่ในวัยทำงาน สิ่งที่ต้องเตรียมการก็คือ ให้เงินได้ทำงานผ่านการลงทุนต่างๆ อาจจะนำเงินไปลงทุนในกองทุนรวม หรือหุ้น และต้องพิจารณาความเสี่ยงให้รอบด้าน ซึ่งหากวางแผนในส่วนนี้ได้อย่างดีเยี่ยม แม้ในช่วงวัยชรา ที่ไม่ได้ทำงานแล้ว ทั้งคู่ก็ยังคงมีรายได้เข้ามา ให้ใช้จ่ายได้อย่างต่อเนื่อง
5. มองหาประกันที่ทำร่วมกัน ด้วยกระเป๋าเงินของเรา
โรคภัยไข้เจ็บ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นในช่วงที่ยังอยู่ในวัยทำงาน ทั้งคู่จึงควรหาข้อมูลเกี่ยวกับการทำประกัน ที่คุ้มครองทั้งค่ารักษาพยาบาล และชดเชยยามขาดรายได้ รวมไปถึงในส่วนของผลประโยชน์ที่มีต่อผู้รับ ในกรณีที่อีกฝ่ายเสียชีวิต
นอกจากเทรนด์ชีวิตแบบ “DINK” แล้ว ปัจจุบันก็ยังมีเทรนด์ “DINKWAD” ที่มาจากคำว่า “Double Income, No Kids, With a Dog” รวมถึง Double Income, No Kids, With a Cat” ฯลฯ แต่ไม่ว่าจะเป็นชีวิตคู่แบบไหน หากเปี่ยมไปด้วยความรักและความเข้าใจ ก็จะทำให้ชีวิตคู่มีความสุขได้อย่างยั่งยืน
อ้างอิง
Double Income No Kids คืออะไร? ทำไมถึงเป็นเทรนด์ในยุคนี้
รู้จัก "DINK" วิถีคู่รัก "ไม่มีลูก" รายได้คูณสอง "รวย" ใช้ชีวิตตามไลฟ์สไตล์