THE HUNGER GAMES : BALLAD OF SONGBIRDS AND SNAKES ‘เกมล่าชีวิต’ที่แท้จริง ไม่ได้อยู่แค่ในสนามประลอง แต่มันคือโลกทั้งใบ!
เป็นเวลากว่า 8 ปีแล้ว นับตั้งแต่ แคตนิส เอเวอร์ดีน ทำลายอำนาจของ แคปปิตอล ได้สำเร็จใน ‘The Hunger Games Mockingjay - Part 2 ในวันนี้เรื่องราวการเอาตัวรอดต่อสู้ในเกมล่าชีวิตกลับมาอีกครั้ง แต่มันจะไม่ใช่แค่ในสนามประลองอีกต่อไป เพราะในภาคนี้สนามประลองคือโลกความจริงที่ทั้งคนชนชั้นสูงและคนชนชั้นล่างต่างต้องเอาชีวิตรอดเหมือนกัน
The Hunger Games: The Ballad of Songbirds & Snakes กำกับโดย “ฟรานซิส ลอว์เรนซ์” ที่เคยกำกับไตรภาคของแฟรนไชส์นี้มาแล้ว ซึ่งในภาคนี้จะพาเราย้อนกลับไป 64 ปี ก่อนที่ แคตนิส เอเวอร์ดีน จะลืมตาดูโลก โดยจะเล่าถึง เส้นทางชีวิตของ คอริโอลานุส สโนว์ ในวัยหนุ่มที่ยังไม่ค่อยรู้ประสีประสา ก่อนจะก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแคปปิตอล
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้น เมื่อ คอริโอลานุส สโนว์ (แสดงโดย ทอม บลายธ์) ในวัย 18 ปี ผู้ต้องการกอบกู้ศักดิ์ศรีของวงตระกูลที่กำลังตกต่ำ ให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง’ แต่การบรรลุเป้าหมายกลับไม่ง่าย เพราะใน “เกมล่าเกมครั้งที่ 10” เขา ต้องมาเป็น เลี้ยงให้กับ กับ ลูซี่ เกรย์ (แสดงโดย เรเชล เซกเลอร์) บรรณาการจาก เขต 12 ผู้มีแค่เสียงร้องเพลงเป็นอาวุธ
เมื่อ สโนว์ ชาวแคปิตอลจนตรอก กับ ลูซี่ เกรย์ หญิงสาวชาวเขตที่ไม่มีแววว่าจะชนะเกมครั้งนี้ต้องมาร่วมมือกัน จึงก่อเกิดเป็นความสัมพันธ์แสนประหลาดขึ้น ทำให้สโนว์ต้องทำงานหนักกว่าพี่เลี้ยงคนอื่น ซึ่งนำไปสู่การใช้สารพัดวิธีทั้งถูกต้องและไม่ถูกต้อง ทั้งมีศีลธรรมและไม่มี เพื่อให้เขาคว้าชัยชนะในเกมล่าเกมครั้งนี้ การต่อสู้ของ คอริโอลานุส สโนว์ ในสังคมชั้นสูงของแคปิตอล และ การดิ้นรนเอาชีวิตรอดของ ลูซี่ เกรย์ ในสนามประลองจึงเกิดขึ้นไปพร้อมๆ กัน ซึ่งหากใครคนใดคนหนึ่งพ่ายแพ้ นั่นย่อมหมายถึงหายะนะของอีกคนด้วย ซึ่งสโนว์จะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด
ด้วยความที่ภาคนี้ดัดแปลงมาจากฉบับนิยาย “The Hunger Games ลำนำแห่งนกร้องเพลงและอสรพิษ” ของ ซูซานน์ คอลลินส์ (Suzanne Collins) จึงไม่ได้เน้นการห้ำหั่นกันในลานประลองเหมือนภาคก่อน ๆ แต่ก็ถูกแทนที่ด้วยความลุ่มลึกทางอารมณ์ การเติบโตของตัวละคร และความเป็นมาของเกมล่าเกมแทน
โดยเนื้อเรื่องกว่า 70-80 % จะถูกเล่าผ่านสายตาของ สโนว์ ซึ่งเราจะได้เห็นตั้งแต่เขายังเป็นแค่นักเรียนหนุ่ม ที่เริ่มต้นทำทุกอย่างตามกติกา และมองโลกแบบเหมือนกับคนทั่วไป แต่เมื่อเขาต้องมาช่วยลูซี่เอาชนะในสนามประลอง ทำให้สโนว์ถูกครอบงำด้วยความทะเยอทะยานจนทำได้ทุกอย่าง แม้แต่การหักหลังคนใกล้ตัว ซึ่งเราจะได้เห็นทุกมุมของเขาตั้งแต่ด้านอ่อนไหวที่มีให้ ลูซี่ ไปจนถึงด้านอำมหิตเพราะอยากเอาชนะ ซึ่งมุมมืดในจิตใจเขาจะค่อยๆ เผยออกมา จนทำให้เราเข้าใจว่าทำไมเขาถึงกลายมาเป็นคนที่โหดเหี้ยม
ภาคนี้ยังมีการตั้งคำถามอีกว่า ถ้ารัฐบาลแคปปิตอลมีอำนาจมากขนาดนี้ ทำไมไม่ใช้มันปกป้องประชาชนทั้ง 12 เขต ตามหลักประชาธิปไตย ซึ่งสิ่งนี้ถูกสะท้อนผ่านตัวละครชาวแคปปิตอลที่ไม่เห็นด้วยกับการมีอยู่ของเกมล่าเกม แต่น่าเสียดายที่มีคนคิดแบบนี้น้อยมาก เพราะรัฐบาลแคปปิตอลเลือกที่จะทำตรงกันข้าม เนื่องจากมันง่ายกว่าที่จะปกครองด้วยความกลัว และมันจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรักษาระบบชนชั้นเอาไว้ เพื่อให้ชนชั้นสูงหาประโยชน์จากคนชนชั้นล่างได้อย่างไม่จบสิ้น
อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ ความหมายของเกมล่าเกม คืออะไร ซึ่งตอนแรกสโนว์และคนอื่นๆ ในแคปปิตอลต่างเชื่อว่า มันคือบทลงโทษที่เอาไว้ป้องกันไม่ใช้ทั้ง 12 เขตลุกฮือขึ้นมาก่อกบฏอีก ทั้งๆ ที่แคปปิตอลมีตั้งหลายวิธีที่จะกำราบชาวเขตให้อยู่หมัด แต่แคปปิตอลอาจเลือกใช้วิธีนี้ เพราะอยากกดขี่ชาวเขตเพื่อย้ำเตือนว่าชนชั้นของแคปปิตอลและชาวเขตนั้นต่างกันเพียงใด
เพราะเมื่อมีรัฐบาล ก็ต้องมีผู้ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้ารัฐบาลอีกที อำนาจถึงจะถูกนำมาใช้ได้ ในทางกลับกัน ถ้าทุกคนเท่าเทียมกันหมด คนที่อยู่ข้างบนก็คงไม่รู้สึกถึงอำนาจ และคนที่อยู่ข้างล่างก็ไม่มีวันรู้จักที่ต่ำที่สูงเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ก็ได้
สำหรับภาคนี้ ถ้าจะมาดูเอามันส์ ยังไงก็สู้ภาคเก่าๆ ไม่ได้ แต่ถ้าดูเพื่อเข้าใจเบื้องลึกของมนุษย์ สมควรดูอย่างยิ่ง เพราะแก่นแท้ของ The Ballad of Songbirds & Snakes คือการตั้งคำถามว่ามนุษย์เกิดมาเพื่อเป็นคนดีหรือชั่ว (หรือเป็นทั้งสอง) และอะไรที่ผลักดันให้คนคนหนึ่งทำผิดไปจากศีลธรรม
สโนว์ และ ลูซี่ รักกันจริงๆ ไหม หรือกำลังมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหลอกใช้อีกฝ่ายเพื่อประโยชน์ตัวเอง ซึ่งการลงไปมีส่วนร่วมในเกมล่าเกมนี้เองที่ทำให้ สโนว์เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ด้านมืดของมนุษย์ไม่ได้ถูกปลอบปล่อยออกมาแค่ในสนามประลองเท่านั้น แต่มันสามารถถูกนำมาใช้ได้ทุกที่ เพราะโลกนี้ต่างหากคือสนามประลองที่แท้จริง และเขาจะทำลายทุกคนที่ยืนขวางระหว่างเขาและอำนาจ ดั่งคำพูดของสโนว์ในภาคนี้ที่ว่า “หิมะร่วงลงเหนือทุกสิ่ง”
จริงแล้วๆ สามารถเริ่มดูจากไตรภาคชุดแรก หรือ ภาค The Ballad of Songbirds & Snakes ก่อนก็ได้ เพราะไม่ว่าจะเริ่มดูภาคไหนก็สามารถเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้เหมือนกัน แต่ถ้าจะดูตามไทมไลน์ จะเรียงเรื่องราวได้ดังนี้
1.The Hunger Games: The Ballad of Songbirds & Snakes (2023)
เรื่องราวของ คอริโอลานุส สโนว์ ในวัยหนุ่ม ก่อนมาเป็นตัวร้ายในไตรภาค
2.The Hunger Games (2012)
เรื่องราวของ แคตนิส เอเวอร์ดีน (แสดงโดย เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์) ที่อาสาเข้าร่วมเกมล่าเกมแทนน้องสาว ทำให้เธอกลายเป็นดาราดังของ แคปิตอล และมีฉายาว่า สาวน้อยผู้มากับไฟ
3.The Hunger Games Catching Fire (2013)
แคตนิส ต้องกลับไปร่วมเกมล่าเกมอีกครั้ง แต่รอบนี้โหดร้ายกว่าครั้งไหนๆ เพราะบรรณาการจากทุกเขต ต่างเคยเป็นผู้ชนะในเกมนี้มาแล้วทั้งสิ้น
4.Hunger Games: Mockingjay – Part 1 (2014)
แคตนิส กลายเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มกบฏอย่างสมบูรณ์ และสงครามกับแคปิตอลเปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการ
5.Hunger Games: Mockingjay – Part 2 (2015)
ศึกตัดสินครั้งสุดท้าย ระหว่างแคตนิส และ ประธานาธิบดีสโนว์ แต่สงครามครั้งนี้ แคตนิส คือความหวังของกลุ่มกบฏ หรือเป็นแค่หุ่นเชิดของเผด็จการคนต่อไปกันแน่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง