Bruges, Belgium “เวนิชแห่งยุโรปเหนือ” รถม้า เป็ด ห่าน และ เบียร์ เป็นเมืองที่อยากเชียร์สุดใจให้มานอนสัก 1 คืน บ้านเรือนสีส้มแดง ที่เรียงรายตามริมคลองคือความงามที่ไม่มีใครเหมือน ไหนจะโบสถ์ พิพิธภัณฑ์ ร้านอาหารริมคลองที่สามารถนั้งมองหงส์ ห่าน และเป็ดได้อย่างสบายๆ
Bruges เมืองท่าขนาดใหญ่ หลายคนยกให้เป็น “Venice of the North” หรือ “เวนิชแห่งยุโรปเหนือ” บ้านเรือนเป็นแนวโกธิค มีลำคลองอยู่ล้อมรอบ และมีสะพานข้ามกว่า 80 ที่และมรดกทางวัฒนธรรมที่อุดมสมบูรณ์ จนได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO ถือว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สวยงามที่สุดในประเทศเบลเยียม
การเดินทางมาเมืองนี้เฟรมนั่งรถไฟมาจาก Brussels แล้วสามารถเดินเท้าเข้ามาในเมืองได้เลย ระยะทางประมาณ 700 เมตร ระหว่างทางก็มีต้นไม้ใหญ่ และวิว2ฝั่งคองให้เพลิดเพลิน และวันที่เฟรมไปเป็นเป็นเสาร์จึงเห็นตลาดฟีลงาน Handmade รวมผลคนเก๋ ตั้งร้านให้คนมาพักผ่อนในวันหยุด เป็นบรรยากาศต้อนรับของเมืองที่ประทับใจสุดๆ
ก่อนที่เราจะเดินเล่นไปรอบ เราสามารถประหยัดพลังงานได้โดยการล่องเรือเพื่อชมเมือง (15 ยูโร ) ใช้เวลาประมาณ 45 นาที โดยที่เขาจะพาเราวนรอบๆเมืองพร้อมบรรยายและชี้จุดสำคัญของเมือง เป็นมุมมองที่ดีมากๆ แถมยังได้เห็นภาพรวมของเมืองก่อนทำให้เราเดินง่ายขึ้นเยอะค่ะ
และมาถึงเมืองนี้สิ่งที่ต้องไปดูให้ได้เลยก็คืองานแกะสลักหินอ่อนฝีมือของ “ไมเคิลแองเจโล” ซึ่งอยู่ในโบสถ์ Church of Our Lady
ผลงานชิ้นนี้มีชื่อว่า “Modonna and Child” นอกจากจะเป็นผลงานของศิลปินเอกชื่อดังก้องโลกแล้ว ที่แปลกคือ ปกติผลงานของเขาจะอยู่ที่อิตาลี ซึ่งนี่เป็นเพียงไม่กี่ชิ้นที่ออกมาแสดงนอกเขตของอิตาลี แต่ก่อนจะมาอยู่ที่นี่ก็เคยไปที่ปารีส และเยอรมันมาแล้ว ใครได้เข้าไปดูให้สังเกตสีหน้าของพระแม่นะคะ ที่จะแสดงออกถึงความกังวลและเป็ยห่วงพระบุตรที่อยู่ด้านหน้า บริเวณของโบสถ์ไม่เสียค่าเข้า แต่ถ้าอยากเห็นงานของ “ไมเคิลแองเจโล” ต้องเสียค่าเข้าที่ 8 ยูโร
บริเวณจตุรัสใจกลางเมืองบรูจน์ Bruges ก็ต้องไปถ่ายรูปเช็กอินว่าเรามาถึงแล้ว
เพราะจะมี Belfry of Bruges มีความสูงถึง 83 เมตร บนยอดหอคอยสร้างเป็นรูปแปดเหลี่ยมสามารถชมวิวได้แบบ 360 องศา ถ้าใครอยากขึ้นไปก็สามารถเดินบันไดได้เพียง 366 ขั้นเท่านั้น ที่หอคอยแห่งนี้เป็นที่เก็บระฆังมากถึง 57 ใบ และที่นี่มีระฆังใบที่มีชื่อเสียงที่สุดมีชื่อว่า Victory Bell มีขนาดกว้าง 2 เมตร หนักประมาณ 6 ตัน
และรอบๆนี้ก็จะเป็นร้านอาหาร คาเฟ่ เต็มไปหมดวิธีหาร้านอาหารของเฟรมก็คือเปิด Google แล้วดูเรทติ้งคะแนนรีวิว ร้านที่เราเลือกก็คือ De care และเมนูที่ต้องลองก็คืออาหารท้องถิ่นอย่างหอยแมลงภู่ กับ มันฝรั่งทอด เตือนก่อนสั่งว่าหม้อใหญ่มาก รสชาติก็คล้ายๆหอยแมลงภู่อบบ้านเรา แต่ตัวจะเล็กกว่าแล้วเนื้อของหอยจะมีรสหวานๆ ต้องลองค่ะ
และที่เมืองนี้มีพิพิธภัณฑ์เยอะมาก ทั้งพิพิธภัณฑ์ช็อคโกแลต พิพิธภัณฑ์เฟรนช์ฟรายส์ พิพิธภัณฑ์เบียร์
เพราะวัฒนธรรมเบียร์ของเบลเยียมที่ยูเนสโกจัดให้เป็นมรดกโลกด้านภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม (Intangible Cultural Heritage)
เฟรมเลยเข้าไปเยี่ยมชมที่ โรงหมักเบียร์ De Halve Maan Brewery เป็ฯแบรนด์ของท้องถิ่นมีบริการสปาร์เบียร์ด้วยราคาไม่แพง แต่ใช้เวลาประมาณ 1.30 ชม. จึงอดลองอาบน้ำด้วยเบียร์ ใครไปอย่าลืมลองนะคะ
ส่วนร้านของสายที่ตั้งใจมาดื่มมาดริงค์แนะนำร้าน 2 be in Bruges / The beerwall เป็นร้านที่มีกำแพงเป็นขวดเบียร์กว่า 350 ชนิด หรับร้านนี้ใครไม่ดื่มก็เพลินได้เพราะตำแหน่งร้านตั้งอยู่บริเวณโงน้ำที่สวยมากๆ นั่ง Outdoor มองบรรยากศเมืองเพลินสุดๆ
นอกจากบรรยากาศที่ชวนผ่อนคลายของเมืองแล้วกลิ่นหอมที่ได้กลิ่นตลอดเวลาก็คือ วาฟเฟิล ซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของเบลเยี่ยม เจอร้านวาฟเฟิลที่เขาเคลมว่า ได้เรทติ้งดีที่สุดบน กูเกิ้ลชื่อร้านว่า Laurence ก็เลยต้องชิมซะหน่อย เฟรมเลือกแบบออริจินัลราคา 3.50 ยูโร แป้งเขานุ่มและน้ำตาลคาราเมลเขาหอมมาก กินตอนร้อนๆได้ฟีลดีค่ะ
ทริปนี้เฟรมพักที่ Hotel Academie Bruges อยู่ในโลเคชั่นที่ดีสามารถเดินเล่นได้รอบๆเมือง อยู่ห่างจากสถานีรถไฟ 850 เมตร
คำแนะนำ - เหมาะแก่การมาอยู่อย่างน้อย 2 วัน 1 คืน เพราะในช่วงกลางวันจะมีคณะทัวร์แบบ Oneday trip เยอะ เพราฉะนั้นในช่วงเวลาเย็นและเช้า เมืองนี้จะสงบสุดๆ ใครอยากได้บรรยากาศเมืองแบบนั้นต้องนอนค้างสักหนึ่งคืนค่ะ
ทุกคนสามารถติดตามการเดินทางครั้งต่อไปของเฟรมได้ที่นี่ Lifestyle Spring หรือทักทายกันได้ที่ IG:famframe
“พิธีกรที่หลงรักการเดินทาง เพื่อพบเจอ พูดคุย และได้ใช้กล้องที่รักเวลาออกทริป” by famframe