ภาพยนตร์อัมสเตอร์ดัม (Amsterdam) นับเป็นภาพยนตร์ที่น่าจับตามองและน่าสนใจ เรื่องราว คดีฆาตกรรม อลหม่าน สู่แผนลับ สมคบคิดปฏิวัติสหรัฐฯ ยุค 1930s และการกลับมาทำหนังอีกครั้งในรอบ 7 ปี ของ เดวิด โอ รัสเซลล์ David O’Russell ซึ่งเคยชิงออสการ์มาแล้วถึง 3 ครั้ง
ภาพยนตร์ อัมสเตอร์ดัม (Amsterdam) นับเป็นภาพยนตร์ที่น่าจับตามองและน่าสนใจ และอาจมีสิทธิ์เข้าไปเป็นหนึ่งในตัวแทนลุ้นรางวัลออสการ์ 2023 ในต้นปีหน้า เพราะนี่คือ อีกหนึ่งผลงานที่ยอดเยี่ยม จากฝีมือ เดวิด โอ. รัสเซลล์ David O. Russell ผู้กำกับ มากฝีมือวัย 64 ปี ซึ่งในอดีตเขาเคยชิงออสการ์ในสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม มาแล้ว จาก 3 ภาพยนตร์ The Fighter (ปี 2011) , Silver Linings Playbook (ปี 2013) และ American Hustle (ปี 2014)
หากใครที่เข้าไปดูภาพยนตร์ อัมสเตอร์ดัม (Amsterdam) ผลงานล่าสุดของเดวิด โอ. รัสเซลล์ David O. Russell คงต้องบอกว่าสมกับการรอคอย หลังจากที่เขาว่างเว้นจากการทำหนังไปทั้งสิ้น 7 ปี โดยเรื่องล่าสุดที่เขาทำไว้คือเรื่อง Joy (ปี 2015)
ทั้งนี้ หนัง อัมสเตอร์ดัม (Amsterdam) เป็นเรื่องราว ที่ร้อยเรียงเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงๆ ให้เข้ากับเรื่องราวที่แต่งขึ้นใหม่ ใส่ตัวละครเข้าไปแบบผสมผสาน ในช่วงเวลานั้นได้อย่างน่าหลงใหล จนกลายเป็นประสบการณ์ที่ผู้ชมไม่สามารถหาได้จากภาพยนตร์เรื่องไหนๆ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
5 นักแสดง Method Acting เปลี่ยนแปลงรูปร่าง ลดน้ำหนัก - เพิ่มน้ำหนัก ตามใจสั่ง
ตีแผ่แง่มุม ทุกมิติ : ตัวละครหญิงสุดแสนลำบาก จากภาพยนตร์ยอดเยี่ยมออสการ์
โดยภาพยนตร์อัมสเตอร์ดัม (Amsterdam) เรื่องย่อ หนังเล่าเรื่องราวปฏิบัติการลับของแก๊งสามเพื่อนรัก นำโดย คุณหมอหลังคดและตาบอดที่ผ่านสงครามโลกครั้งที่ 1 มา โดยตัวละครชื่อ Burt Berendsen รับบทโดย “คริสเตียน เบล (Christian Bale) พยาบาลหญิง ‘Valerie Voze’ รับบทโดยมาร์โกต์ ร็อบบี้ (Margot Robbie) และนายทหารหนุ่ม ‘Harold Woodman’ รับบทโดยจอห์น เดวิด วอชิงตัน (John David Washington ) โดยทั้ง 3 คน เป็น 3 เพื่อนรักในช่วงยุค 1930s ผู้ร่วมเห็นเหตุการณ์ฆาตกรรมอันลึกลับ แต่กลับกลายเป็นเหล่าผู้ต้องหาเสียเอง แบบตกกระไดพลอยโจน ซึ่งหลังจากนั้นได้รับการช่วยเหลือในการหลบหนีและแก้ให้พ้นความผิด
และเมื่อเรื่องดำเนินไป ไปๆมาๆ ทั้ง 3 คนค้นพบว่าพวกเขาได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางของความลับอันยิ่งใหญ่ในหน้าประวัติศาสตร์อเมริกา ซึ่ง พวกเขาทั้ง 3 คน ไปพัวพัน และอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศแบบไม่รู้ตัวเลย ... และสุดท้ายทั้ง 3 คน จึงวางแผน ซ้อนแผน เพื่อหาตัว คนบงการ คนที่วางแผนคิด เปลี่ยนแปลงการปกครอง
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าเรื่องราวในหนังอัมสเตอร์ดัม (Amsterdam) จะพูดถึงประเด็นหนักหน่วงอย่างการเปลี่ยนแปลงการปกครองเสียทีเดียว เพราะว่า เดวิด โอ. รัสเซลล์ David O. Russell ใช้กลวิธี ใช้เหตุการณ์ การฆาตกรรมปริศนา ที่เกิดขึ้นต้นเรื่อง มาเป็นตัวนำ และมีการตัดสลับเหตุการณ์ เพื่อเล่าว่า ตัวละครหลักทั้ง 3 ตัว รู้จักกันได้อย่างไร และผูกพันได้อย่างไร ดังนั้น ผู้ชมที่เข้าไปดูจะสนุก เร้าใจและได้อรรถรส และ ตามเรื่องไปได้ กับเหตุการณ์สืบสวนในช่วงต้นเรื่อง และไปคลี่ปมปริศนาในช่วงปลายเรื่อง
โดยหลังจาก ภาพยนตร์อัมสเตอร์ดัม (Amsterdam) เปิดตัวทั่วโลกแล้วนั้น นักวิจารณ์และผู้ชมต่างลงความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าบทภาพยนตร์ของ อัมสเตอร์ดัม (Amsterdam) เป็นการกลับมาที่สวยงามของ เดวิด โอ. รัสเซลล์ หนังมีความคลาสสิค และถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างร่วมสมัย คอสตูมจัดเต็ม ผสมกับมุกตลกคอมเมดี้ ในสไตล์เฉพาะตัวการเล่าเรื่องแบบ เดวิด โอ. รัสเซลล์ ซึ่งหากใครเป็นแฟนหนังเก่าๆของเขา ที่เขาเคยทำได้อย่างยอดเยี่ยมแบบใน Silver Linings Playbook (ปี 2013) ก็ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง
สิ่งที่พิเศษสำหรับ ภาพยนตร์เรื่องนี้ ยังมี นักแสดงประกอบที่ชื่อเสียงโด่งดัง คับวงการ และการันตีคุณภาพ อาทิ นักแสดงตัวพ่อ อย่าง โรเบิร์ต เดอ นิโร (Robert De Niro) ผู้ชนะรางวัลออสการ์ รามี มาเลก (Rami Malek) ซูเปอร์สตาร์มาแรงแห่งยุค อย่าง อันยา เทย์เลอร์ จอย (Anya Taylor-Joy) , โซอี ซัลดานา (Zoe Saldaña) รวมถึง คริส ร็อก (Chris Rock) ซึ่งเคยเป็นประเด็นข่าวใหญ่ทั่วโลกในช่วงต้นปี จากกรณี ถูกวิลล์ สมิธ ตบหน้าในงานออสการ์ , ไมเคิล แชนนอน (Michael Shannon)และ นักร้องดัง เทย์เลอร์ สวิฟต์ ที่รับเชิญมาเล่นเรื่องนี้ด้วย
สำหรับ ภาพยนตร์ Amsterdam เข้าฉายในไทยแล้ว และภาพยนตร์ที่รวมดาราเบอร์ใหญ่ กับการกลับมาในรอบ 7 ปีของ เดวิด โอ. รัสเซลล์ มาร่วมกันพิสูจน์ว่า กลวิธี การใส่ตัวละคร เข้าไปในประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริง มันจะแนบเนียน และทำให้ผู้ชม สนุก ติดตามไปด้วย ได้มากน้อยแค่ไหน...
Credit Youtube 20th Century Studios Thailand