svasdssvasds

Sustainability ถ้าไม่ทำจะเสียความน่าเชื่อถือ ทำแบรนด์แห่เพิ่มสินค้า ESG

Sustainability ถ้าไม่ทำจะเสียความน่าเชื่อถือ ทำแบรนด์แห่เพิ่มสินค้า ESG

การทำธุรกิจยุคนี้ต้องยั่งยืนเท่านั้นถึงจะตอบโจทย์ลูกค้า และสังคม ยุคใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพราะเรื่องของ Sustainability ในอนาคตถ้าธุรกิจไม่ทำ จะเสียความน่าเชื่อถือได้ ดังนั้นจึงทำให้วันนี้แบรนด์แห่เพิ่มสินค้า ESG เพิ่มมากขึ้น

SHORT CUT

  • ต้องยอมรับว่าทิศทางในการทำธุรกิจจะมุ่งสู่ความยั่งยืนเป็นเรือธงที่สำคัญ เนื่องจากผู้บริโภค และประเทศคู่ค้ามีความต้องการสินค้า และบริการรักษ์โลกมากขึ้น
  • เทรนด์ ESG สู่ ปี 2024 ความเปลี่ยนแปลงระดับโลกที่จะมาถึงไทย ใครปรับตัวไว ได้เปรียบ!
  • แบรนด์เริ่มปรับตัวออกสินค้ารักษ์โลกเพิ่มมากขึ้น เจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม

การทำธุรกิจยุคนี้ต้องยั่งยืนเท่านั้นถึงจะตอบโจทย์ลูกค้า และสังคม ยุคใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพราะเรื่องของ Sustainability ในอนาคตถ้าธุรกิจไม่ทำ จะเสียความน่าเชื่อถือได้ ดังนั้นจึงทำให้วันนี้แบรนด์แห่เพิ่มสินค้า ESG เพิ่มมากขึ้น

ปัจจุบันทิศทางในการทำธุรกิจจะมุ่งสู่ความยั่งยืนเป็นเรือธงที่สำคัญ เนื่องจากผู้บริโภค และประเทศคู่ค้ามีความต้องการสินค้า และบริการรักษ์โลกมากขึ้น จึงทำให้ธุรกิจน้อยใหญ่ต่างปรับตัวในเรื่องของ Sustainability และ ESG เพราะหากใครทำก่อนย่อมมีโอกาสได้เปรียบในการทำธุรกิจ และจะกลายเป็นผู้นำในตลาดได้ในที่สุด สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เผยว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน หรือ ESG จะเป็นบรรทัดฐานการทำธุรกิจในอนาคต ซึ่งหมายความว่าการทำธุรกิจจะไม่ได้หวังผลกำไรเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) ด้วย

ESG คือทางรอดของธุรกิจในยุคนี้

ในขณะที่ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เผยผลสำรวจว่า ESG คือทางรอดของธุรกิจ ที่มาพร้อมความท้าทาย และการ ESG เป็นทางรอดของธุรกิจ? เนื่องจากยุโรปได้ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Carbon Neutrality) เร็วกว่าประเทศไทย 10 - 15 ปี ซึ่งช่องว่างสิบกว่าปีนี้ จะทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสในการส่งออก ถูกกีดกันทางการค้า รวมถึงมีต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นจากภาษีคาร์บอนอีกด้วย ดังนั้นการทำ ESG จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำตั้งแต่วันนี้ เพื่อความยั่งยืนต่อเนื่องในระยะยาว

Sustainability ถ้าไม่ทำจะเสียความน่าเชื่อถือ ทำแบรนด์แห่เพิ่มสินค้า ESG

สำหรับการทำ ESG สิ่งสำคัญไม่ใช่ Why หรือ What แต่เป็น How และ When ในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รับผิดชอบต่อสังคม และมีการกำกับดูแลกิจการที่ดีขึ้น ซึ่งได้กลับมาที่ธุรกิจ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพทางการเงินและมูลค่าระยะยาวให้กับบริษัทได้

ใครปรับตัวไว ได้เปรียบ!

ด้านธนาคารกรุงเทพ ได้มีการสรุปประเด็นสำคัญ เทรนด์ ESG สู่ ปี 2024 ความเปลี่ยนแปลงระดับโลกที่จะมาถึงไทย ใครปรับตัวไว ได้เปรียบ! ทั้งนี้ยังมองว่าเทรนด์ ESG ยังคงเป็นกระแสหลักในยุคปัจจุบัน ยิ่งไปกว่านั้นในปี 2024 จะมีความเข้มข้นสูง เพราะผู้บริโภคนักลงทุนต่างให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ธุรกิจที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกขาดความรับผิดชอบต่อสังคมเสี่ยงถูกโจมตี ยิ่งเมื่อโลกให้ความสำคัญกับเรื่องของสิ่งแวดล้อม จนเกิดกฎระเบียบเพื่อให้ธุรกิจช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ธุรกิจจะต้องให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม

ESG ถ้าธุรกิจไม่ทำ ความน่าเชื่อถือจะลดลง

วันนี้จะพามาฟังมุมมองจากภาคธุรกิจกันบ้างว่าการทำ ESG สำคัญแค่ไหนในยุคนี้ แล้วหากไม่ทำจะเกิดอะไรขึ้น รวมถึงแนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภคเกี่ยวกับสินค้ารักษ์โลก โดย “โทโมกิ ทามุระ” รองประธานฝ่ายธุรกิจระหว่างประเทศ และผู้จัดการทั่วไป ธุรกิจไฟฟ้าและโซลูชันอัจฉริยะ บริษัท ชาร์ป คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า ปัจจุบันภาคธุรกิจให้ความสำคัญอย่างมากในเรื่องของ Sustainability และ ESG ให้รับกับเทรนด์โลก ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม

Sustainability ถ้าไม่ทำจะเสียความน่าเชื่อถือ ทำแบรนด์แห่เพิ่มสินค้า ESG

ทั้งนี้จะให้ความสำคัญเกี่ยวกับการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ให้มีความรักษ์โลกมากขึ้น โดยในอนาคตอันใกล้นี้สินค้าที่ออกมาใหม่จะต้องเป็นสินค้ารักษ์โลก และประหยัดพลังงาน เป็นส่วนใหญ่ และเชื่อว่าแบรนด์อื่นๆก็จะให้ความสำคัญ และคิดหาแนวทางออกสินค้ารักษ์โลกมาในท้องตลาดมากขึ้นเช่นกัน ซึ่งมองอีกว่าเรื่อง ESG หากแบรนด์ไหนที่ไม่ทำจะเกิดความเสียหายค่อนข้างมาก เพราะจะสูญเสียความน่าเชื่อถือได้

“เราได้ตั้งแผนกที่เข้ามาดูแลเรื่องความยั่งยืนขึ้นมาในองค์กรเพื่อรองรับเทรนด์เรื่องความยั่งยืนโดยเฉพาะ เราจะร่วมจอยกับทุกแคมเปญที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน เราได้วางไว้ 3 Vision เกี่ยวกับความยั่งยืน อันดับแรก คือ การพัฒนาสินค้าเพื่อประหยัดพลังงาน เช่น เครื่องซักผ้าประหยัดพลังงาน สองคือ การรีไซเคิลให้นำกลับมาใช้ใหม่ได้  และสาม คือ โรงงาน ทุกขั้นตอนพัฒนาให้เป็น AI  ให้ทุกซัพพลายเชนจะลดการใช้พลังงานได้อย่างไร ซึ่งกำลังทำอยู่ และกำลังจะพัฒนาต่อไปอย่างต่อเนื่อง โรงงานก็จะใช้โซลาร์เซลล์เพื่อประหยัดพลังงาน”

แบรนด์แห่ผุดสินค้ารักษ์โลก รับตลาดใหม่

สำหรับแผนการตลาดจะเน้นออกสินค้ารักษ์โลก มาเจาะตลาดมากขึ้น เช่นล่าสุดได้เป็นเจ้าแรกที่ออกเครื่องซักผ้าที่ไม่มีรู สามารถช่วยประหยัดพลังงาน ช่วยเก็บกักน้ำไว้ได้ดี ประหยัดน้ำได้ถึง 30%  ประหยัดผงซักฟอกได้ถึง 30% ช่วยสิ่งแวดล้อม ไม่ให้เกิดมลพิษ

นอกจากจะให้ความสำคัญเรื่องความยั่งยืน ชาร์ปยังคงเดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่และภาคธุรกิจในอาเซียน พร้อมเสริมแกร่งธุรกิจในตลาดอาเซียน นำเสนอผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่สำหรับผู้บริโภคและภาคธุรกิจ B2B ภายใต้แนวคิด “Simply Better Lifestyle” ล่าสุดได้จัดงานใหญ่ระดับภูมิภาค “SHARP Sync-Up 2024” ขึ้นที่ประเทศไทย เพื่อเผยถึงนโยบายในการดำเนินธุรกิจ พร้อมทั้งนำเสนอเครื่องใช้ไฟฟ้า ทีวี สมาร์ทโฮมโซลูชัน “Cocoro Home” และนวัตกรรม “AIoT” ใหม่ๆ ที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในยุคนี้

อย่างไรก็ตามชาร์ปมุ่งมั่นสร้างสรรค์เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคตของภูมิภาคอาเซียน เนื่องจากบริษัทดำเนินธุรกิจในภูมิภาคนี้มาอย่างยาวนาน จึงทำให้เรามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ด้วยความมุ่งมั่นทุ่มเทและการสนับสนุนจากบริษัทในเครือและพาร์ทเนอร์ของเรา ส่งผลให้แบรนด์ชาร์ปยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งในตลาดอาเซียน นอกจากนี้ การได้รับการยกย่องให้เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งของอาเซียนในกลุ่มตู้เย็นและไมโครเวฟยังถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความไว้วางใจของผู้บริโภคในความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมของชาร์ปอีกด้วย เราจะยังคงเดินหน้านำเสนอผลิตภัณฑ์และโซลูชันใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตและการทำงานรูปแบบใหม่ของผู้คนในอาเซียนอย่างไม่หยุดยั้ง ภายใต้แนวคิด Simply Better Lifestyle”

Sustainability ถ้าไม่ทำจะเสียความน่าเชื่อถือ ทำแบรนด์แห่เพิ่มสินค้า ESG

ทั้งนี้ภายในงาน “SHARP Sync-Up 2024” ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-18 กรกฎาคม 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ชาร์ปได้นำเสนอผลิตภัณฑ์และโซลูชันใหม่ๆ เพื่อตอบรับเทรนด์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้คนยุคใหม่ในภูมิภาคนี้ที่ให้ความสนใจเรื่องความอย่างยั่งยืนกันมากขึ้น โดยมุ่งเน้นนวัตกรรมที่สรรค์สร้างความสะดวกสบาย ตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของแต่ละบุคคล และเติมเต็มทุกไลฟ์สไตล์ของครอบครัวได้อย่างลงตัว

โดยในครั้งนี้มีตัวแทนจากบริษัทในเครือของชาร์ปและพันธมิตรทางธุรกิจจากทั่วภูมิภาคอาเซียนและทั่วโลกเข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง โดยมีการจัดแสดงกลุ่มผลิตภัณฑ์ใน 5 หมวดหมู่หลัก ได้แก่ เทคโนโลยีบ้านอัจฉริยะ หรือ Smart Home (เทคโนโลยีการทำความสะอาด โซลูชันอากาศบริสุทธิ์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัว) เทคโนโลยีพลังงานทางเลือกรูปแบบใหม่ (New Energy Concept) ผลิตภัณฑ์ความบันเทิงอัจฉริยะ (Smart Entertainment) นวัตกรรมสำหรับสมาร์ทไลฟ์สไตล์ (Smart Lifestyle) และโซลูชันสำหรับสมาร์ทออฟฟิศ (Smart Office)

สำหรับการออกแบบสำหรับไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบของคนยุคใหม่และเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวสำหรับคนรักสุขภาพเพื่อให้สอดรับกับเทรนด์ของผู้บริโภคที่มักให้ความสนใจผลิตภัณฑ์ที่มีการออกแบบที่โดดเด่นและเทคโนโลยีล้ำสมัย ชาร์ปจึงได้เปิดตัวเตาอบไมโครเวฟแบบลิ้นชักที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร

โดยมีการออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ (Ergonomic Design) เพื่อความสะดวกสบายในการใช้งาน ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในซีกโลกตะวันตก การันตีด้วยยอดขายกว่า 1 ล้านเครื่องในประเทศสหรัฐอเมริกา จากผลตอบรับที่ดีนี้ ชาร์ปจึงเตรียมเปิดตัวเตาอบไมโครเวฟนี้ในตลาดอาเซียน โดยเตาอบไมโครเวฟแบบลิ้นชักของชาร์ปถูกออกแบบมาให้ผสานรวมเข้ากับห้องครัวสไตล์โมเดิร์นได้อย่างลงตัว และมีระบบการปรุงอาหารด้วยเซ็นเซอร์ที่ล้ำสมัยแต่ใช้งานง่าย สามารถปรับเวลาในการปรุงอาหารและความร้อนได้หลายระดับ ให้ทุกคนสามารถทำเมนูเพื่อสุขภาพด้วยตัวเองได้ง่ายๆ ที่บ้าน

นอกจากนี้ฝาประตูยังมาพร้อมกับระบบ Easy Wave Open ที่ใช้เซ็นเซอร์ในการตรวจจับความเคลื่อนไหว ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารหกเลอะเทอะ พื้นที่ด้านในกว้างขวาง เหมาะสำหรับครอบครัวขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ และระดับความสูงที่เหมาะสมกับสรีระ จึงเหมาะกับผู้ใช้ทุกคน อีกหนึ่งไฮไลท์ของกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านคือ เครื่องดูดฝุ่นรุ่น Ractive Air SR-9 ที่เงียบและทรงพลัง และมีน้ำหนักเบาเพียง 1.7 กิโลกรัม

โดยชาร์ปได้ออกแบบเครื่องดูดฝุ่นนี้ขึ้นมาใหม่เพื่อให้มีพลังดูดสูง แต่ระดับความดังของมอเตอร์ขณะใช้งานอยู่ที่เพียง 52 เดซิเบล และ 60 เดซิเบลในโหมดความเร็วสูง (Strong Mode) ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น (Japanese Industrial Standards) หรือ JIS ในขณะที่เครื่องดูดฝุ่นของแบรนด์อื่นๆ ที่มีอยู่ในท้องตลาดมีระดับความดังขั้นต่ำอยู่ที่ 75 - 82 เดซิเบล ผลลัพธ์ที่ได้คือประสบการณ์การทำความสะอาดที่มีประสิทธิภาพสูงและสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยที่ดีต่อสุขภาพด้วยเสียงรบกวนที่น้อยที่สุด

แน่นอนว่าวันนี้เทรนด์โลก เทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป แบรนด์ และภาคธุรกิจต้องหันมาผลิตสินค้ารักษ์โลกมากขึ้น เพื่อจะช่วงชิงตลาดลูกค้าที่หันมาซื้อสินค้ารักษ์โลกมากขึ้น!

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

 

 

 

related