svasdssvasds

"วันผึ้งโลก" World Bee Day 20 พ.ค. สัตว์ที่สร้างสมดุลให้ระบบนิเวศธรรมชาติ

"วันผึ้งโลก" World Bee Day 20 พ.ค. สัตว์ที่สร้างสมดุลให้ระบบนิเวศธรรมชาติ

“ผึ้ง” มีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้พิทักษ์ห่วงโซ่อาหารให้ดำรงอยู่อย่างมั่นคง ควบคู่ไปกับการเป็นผู้สร้างสมดุลให้แก่ระบบนิเวศธรรมชาติ 

ผึ้ง” มีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้พิทักษ์ห่วงโซ่อาหารให้ดำรงอยู่อย่างมั่นคง ควบคู่ไปกับการเป็นผู้สร้างสมดุลให้แก่ระบบนิเวศธรรมชาติ ด้วยการสร้างอาหาร ที่อยู่อาศัย พร้อมทั้งช่วยบำรุงแหล่งประโยชน์ของสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่นนับไม่ถ้วน เหนืออื่นใดเกือบ 90% ของพืชดอกในป่าทั่วโลก ล้วนต้องพึ่งพาแมลงผสมเกสรโดยเฉพาะผึ้งในการสืบพันธุ์ให้คงอยู่ต่อไป

แมลงทุกชนิดมีความสำคัญต่ออนาคตของโลก เพราะพวกมันคือกลไกสำคัญในการควบคุมศัตรูพืช และย่อยสลายซากพืชและสัตว์กลับเป็นสารอาหารคืนสู่ดิน และตอนนี้การลดลงของจำนวนแมลงที่คืบคลานมาอย่างรวดเร็ว คืออีกหนึ่งวิกฤตเร่งด่วนที่น่ากังวล การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพของแมลง ส่งผลโดยตรงต่อระบบนิเวศ ซึ่งนำไปสู่การดำรงชีวิตของมนุษย์และความมั่นคงทางอาหาร

โดยเฉพาะประเทศไทยและประเทศเขตร้อน การลดลงของแมลงปรากฏมากที่สุดในพื้นที่เกษตรกรรมและพื้นที่เพาะปลูก และยังเป็นพื้นที่ซึ่งผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการสูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัย สร้างผลกระทบรุนแรงและลึกซึ้งที่สุด ไม่เพียงมนุษย์ แต่สัตว์มากกว่า 5.5 ล้านสปีชีส์ ที่อาศัยในภูมิภาคของเราจะต้องทนทุกข์กับการพังทลายของระบบนิเวศเช่นกัน

ผึ้งและแมลงลดประชากรจากหลายสาเหตุ ทั้งการสูญเสียพื้นที่สร้างรัง ขาดแคลนแหล่งอาหาร และผลกระทบจากการใช้สารเคมี ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า ปุ๋ยเคมี เพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร รวมถึงการเผาซากพืชไร่ ซึ่งสร้างควันพิษทำให้ผึ้งไม่อาจอยู่รอดได้

"ผึ้ง" ทั่วโลกลดลงต่อเนื่อง กระทบความมั่นคงทางอาหาร

ปรากฏการณ์รังผึ้งล่มสลาย (Colony Collapse Disorder)  เป็นปรากฏการณ์ที่ผึ้งงานจากรังหรือนิคมผึ้งพันธุ์หายไปอย่างฉับพลัน ซึ่งเกิดมาตลอด แต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการสูญเสียถิ่นที่อยู่ ทำให้เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวเพิ่มมากขึ้นและมีผึ้งหายไปมากกว่าเดิม

ในปัจจุบันประชากรของ “ผึ้ง” กำลังลดลง ผึ้งบางชนิดได้สูญพันธุ์ไปจากแหล่งที่อยู่อาศัยเดิม มีผึ้งหึ่งถึง 3 ชนิด สูญพันธุ์ไปจากเกาะอังกฤษ ในช่วงเวลาเพียงแค่หนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา และการหายไปของผึ้งจะทำให้เกิดหายนะกับมนุษย์

“การผสมเกสร” เป็นกระบวนการขั้นพื้นฐานที่ทำให้ระบบนิเวศอยู่รอดได้ เกือบ 90% ของพันธุ์ไม้ดอกป่าทั่วโลกต้องอาศัยการผสมเกษตรของผึ้งและแมลงผสมเกสรอื่น ๆ เช่น ผีเสื้อ ค้างคาว และนกฮัมมิงเบิร์ด เช่นเดียวกับ “พืชอาหาร” 75% ของโลก และ 35% ของพื้นที่เกษตรกรรมทั่วโลก ที่ต้องการผึ้งมาผสมเกสร ดังนั้นแมลงผสมเกสรไม่เพียงมีส่วนโดยตรงต่อการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความมั่นคงทางอาหารอีกด้วย

เมื่อ “ผึ้ง” ตาย อาจก่อให้วิกฤตทางอาหาร

ในโลกใบนี้มี “ผึ้ง” มากกว่า 20,000 ชนิดทั่วโลก ซึ่งมีลักษณะการดำรงชีวิตแตกต่างกันไป คือ ผึ้งที่อยู่รวมกันเป็นสังคม (Social Bees) และผึ้งที่ใช้ชีวิตแบบโดดเดี่ยว หรือ (Solitary Bees) ทั่วไปแล้วเรามักจะคุ้นชินกับผึ้งที่อยู่ร่วมกันเป็นสังคมที่เห็นตามรังผึ้งต่าง ๆ มากกว่า โดยผึ้งประเภทนี้จะมีการแบ่งชั้นวรรณะ คือนางพญา ผึ้งงาน และผึ้งตัวผู้  โดยในหนึ่งรังนั้นจะมีนางพญาเพียงตัวเดียวเท่านั้น ซึ่งความจริงแล้วผึ้งประเภทนี้มีเพียง 10% ในธรรมชาติเท่านั้น

90% ที่เหลือคือผึ้งที่ใช้ชีวิตแบบโดดเดี่ยว ผึ้งเหล่านี้จะไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ ตัวเมียเมื่อวางไข่แล้วก็ทิ้งรังไป ไม่มีการดูแลตัวอ่อน เหมือนกับผึ้งที่อยู่ร่วมกันเป็นสังคม ซึ่งผึ้งเหล่านี้มีบทบาทเป็นผู้ผสมเกสรที่สำคัญมากในระบบนิเวศ 

ผึ้งเป็นสัตว์ที่อยู่คู่กับมนุษย์มาอย่างยาวนาน เราได้ลิ้มรสความหวานของ “น้ำผึ้ง” มาอย่างน้อย 8000 ปีมาแล้ว ตั้งแต่อารยธรรมอียิปต์ ซึ่งเป็นอารยธรรมแรกที่มีหลักฐานการเลี้ยงผึ้งให้น้ำหวาน เพื่อการผลิตน้ำผึ้งไปอุปโภคและบริโภค ผึ้งให้น้ำหวานถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ตั้งแต่ในยุคโรมัน ในเรื่องของการปกครอง โครงสร้างทางสังคม การแบ่งหน้าที่และชั้นวรรณะ

แต่สภาพภูมิอากาศของโลกมีการเปลี่ยนแปลงในหลายภูมิภาค ทำให้ดอกไม้บานก่อนเวลาที่ควรจะเป็น ซึ่งเป็นช่วงที่ผึ้งไม่ได้ออกหาอาหาร พอไม่มีผึ้งมาช่วยผสมเกสร พืชก็จะไม่ติดผล กระทบมาถึงนกที่กินผล และช่วยพาเมล็ดกระจายพันธุ์ไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ได้ ซึ่งหากขาดสิ่งใดไป ไม่ว่าจะผึ้ง พืช และนก ระบบนิเวศอาจจะเสียสมดุลได้ ท้ายที่สุดแล้วมนุษย์ก็จะได้รับผลกระทบด้วย

การค้นพบ "ผึ้งหลวงหิมาลัย" ครั้งแรกในประเทศไทย

ค้นพบ "ผึ้งหลวงหิมาลัย" ครั้งเเรกในไทย มีความสำคัญต่อภาพรวมความหลากหลายทางชีวภาพ

การค้นพบ "ผึ้งหลวงหิมาลัย" ครั้งแรกในประเทศไทย โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ร่วมด้วยทีมนักวิจัยคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ได้ร่วม 'ศึกษาผึ้งหลวงหิมาลัย' ที่เคยพบเฉพาะในแนวเทือกเขาหิมาลัยของเนปาลและอินเดีย

ผึ้งหลวงหิมาลัย หรือ ApislaboriosaSmith, 1871 ที่พบในครั้งนี้ อยู่ในบริเวณหน้าผาสูงของอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ได้มีการพบเจอตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อยู่ในช่วงเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้ได้ข้อมูลที่แน่ชัดของตัวผึ้งหลวงหิมาลัย

ซึ่งผึ้งหลวงหิมาลัยเป็นผึ้งหลวงอีกชนิดนอกเหนือจาก ผึ้งหลวงทั่วไป หรือ Apis dorsataFabricius, 1793 ที่เราสามารถพบเห็นได้ในทุกภูมิภาคของประเทศไทย โดยมีการสร้างรังที่ขนาดใหญ่เป็นคอนเดี่ยว

ลักษณะที่แตกต่างที่สำคัญของผึ้งหลวงหิมาลัย ได้แก่ ปล้องท้องที่มักมีสีดำสนิท และขนรอบบริเวณปล้องอกที่มีสีเหลืองทอง ผึ้งหลวงหิมาลัยสามารถพบในบริเวณภูเขาสูง ตั้งแต่ <1,000 - 4,500+ เมตรจากระดับน้ำทะเล และในพื้นที่มีอากาศเย็น (< 25°C) และยังเป็นแมลงผสมเกสรที่สำคัญและจำเพาะต่อสังคมพืชในระบบนิเวศที่สูง

ค้นพบ &quot;ผึ้งหลวงหิมาลัย&quot; ครั้งแรกในประเทศไทย

เป็นที่ทราบกันดีในวงการผู้เลี้ยงผึ้งและศึกษาผึ้งทั่วโลกว่า น้ำผึ้งที่ได้จากผึ้งหลวงหิมาลัยในประเทศอินเดียและเนปาล มีคุณสมบัติทางกายภาพและเคมีที่แตกต่างจากน้ำผึ้งจากผึ้งหลวงทั่วไปและผึ้งชนิดอื่นๆ ในธรรมชาติ และเป็นที่ต้องการอย่างสูงในตลาด อย่างไรก็ตามข้อมูลเหล่านี้จำเป็นที่ต้องได้รับการศึกษาเพิ่มจากผึ้งหลวงหิมาลัยที่พบในประเทศไทยต่อไป

การค้นพบในครั้งนี้ เป็นตัวชี้วัดที่มีความสำคัญต่อภาพรวมของความหลากหลายทางชีวภาพและทรัพยากรสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่สูงภายในประเทศไทย ที่กำลังถูกรุกรานจากการทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยของผึ้งชนิดต่างๆ และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ (climate change) แต่ก็ยังสามารถพบผึ้งหลวงหิมาลัยในประเทศไทยได้

ทั้งนี้ ผึ้งหลวงหิมาลัยที่พบยังเป็น ผึ้งให้น้ำหวานในสกุล Apis ชนิดที่ 5 ของประเทศไทย จากเดิมที่มีรายงานอยู่เพียง 4 ชนิด คือ ผึ้งหลวง (Apis dorsata) ผึ้งมิ้ม (Apis florea) ผึ้งม้าน (Apis andreniformis) และ ผึ้งโพรง (Apiscerana) ซึ่งไม่รวมผึ้งพันธุ์ (Apismellifera) ที่เป็นผึ้งสายพันธุ์ต่างถิ่น

ความเป็นมา "วันผึ้งโลก" (World Bee Day) 

ความเป็นมาของ "วันผึ้งโลก" (World Bee Day) มาจากการที่ สหประชาชาติต้องการส่งเสริมความตื่นตัวของประชากร เกี่ยวกับความสำคัญของผึ้งต่อโลกใบนี้ รวมถึงสร้างความตระหนักเกี่ยวกับปัญหาประชากรผึ้งที่ลดลง เนื่องจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีผึ้งจำนวนมากต้องตายลง จากภาวะล่มสลายของอาณานิคมผึ้ง เนื่องมาจากภัยคุกคามจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช ขณะเดียวกันเมื่อพื้นที่ป่าหดแคบลง ก็ทำให้ผึ้งกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ไปด้วย 

ผึ้งนั้นมีความสำคัญต่อมนุษย์ ถึงขนาดนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังอย่าง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เคยพูดไว้ว่า If the bee disappeared off the face of the Earth, man would only have four years left to live. หมายความว่า ถ้าผึ้งหายไปจากโลก มนุษย์จะมีชีวิตอยู่ได้เพียงอีกแค่ 4 ปี เนื่องจากผึ้งมีหน้าที่ในการช่วยผสมเกสรให้กับพืชพรรณหลายชนิด ซึ่งรวมถึงพืชที่มนุษย์กินเป็นอาหาร ผลการศึกษาชี้ว่า ในพืช 100 ชนิดที่มนุษย์กินเป็นอาหาร มี 70 ชนิดที่ต้องใช้ผึ้งเป็นตัวผสมละอองเกสร ดังนั้นหากผึ้งสูญพันธุ์ไปจากโลก พืชที่มนุษย์กินเป็นอาหาร คือผักและผลไม้จะหายตามไปด้วย

ดังนั้นเพื่อให้ทุกคนเกิดการตระหนักและเห็นคุณค่า ความสำคัญ ประโยชน์ของผึ้ง จึงกำหนดให้ทุกวันที่ 20 พฤษภาคม ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันเกิดของศาสตราจารย์ ดร.อันตัน ฮัลซา (Anton Jansa) ผู้บุกเบิกการเลี้ยงผึ้งสมัยใหม่ ให้เป็นที่แพร่หลาย และได้รับการยอมรับถึงความรู้ความสามารถ ในการเลี้ยงผึ้งสมัยใหม่ ด้วยการจัดการฟาร์มผึ้งอย่างเป็นระบบและยั่งยืนเป็น "วันผึ้งโลก" ขึ้น 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

related