เหตุการณ์น้ำมันรั่วศรีราชากำลังคลี่คลายและมีการเร่งกำจัดคราบน้ำมันโดยใช้สารเคมีขจัดคราบน้ำมัน Dispersant และจากเหตุการณ์น้ำมันรั่วชลบุรีในครั้งนี้ นักวิชาการแสดงความกังวลถึงปัญหาสารปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมและอาหารทะเลซึ่งอาจส่งผลกับสุขภาพในระยะยาว
จากกรณีน้ำมันรั่วศรีราชาบริเวณทุ่นรับน้ำมันของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด จนเกิดคราบน้ำมันหรือ Oil spill โดยนักวิชาการเผยว่าน้ำมันดิบรั่วไหลเป็นน้ำมันดิบชนิด ARUB light crude จากตะวันออกกลางมีองค์ประกอบ คือมีค่ากำมะถัน 1.77 -2.0% มีโลหะหนักโดยประมาณแคดเมียม 0.44 ppm, นิเกิล 0.875 ppm, วาเนเดียม 0.621 ppm, ตะกั่ว 0.2ppm รวมทั้งมีสารประเภท PAHs หรือ Polycyclic Aromatic Hydrocarbons ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
ในส่วนของการกำจัดคราบน้ำมันรั่วศรีราชาโดยใช้สาร Dispersant สารเคมีขจัดคราบน้ำมันถึงกว่า 8,000 ลิตร ซึ่งการทำงานของสารชนิดนี้คือ เมื่อฉีดสารเคมีขจัดคราบน้ำมันลงในคราบน้ำมันในทะเล จะทำให้คราบน้ำมันแตกตัวกลายเป็นละอองน้ำมันผสมกับน้ำจมลงใต้ทะเล ดังนั้นสาร Dispersant จึงไม่ได้ช่วยลดปริมาณน้ำมันแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามอาจสร้างผลกระทบกับสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลมากขึ้น
นอกจากนี้ละอองน้ำมันรั่วศรีราชาที่ตกลงใต้ทะเลจะมีสารเคมีต่างๆ เช่น กำมะถัน, PAHs และโลหะหนักต่างๆ ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สูงมาก หากสัตว์ทะล เช่น แพลงก์ตอนสัตว์ ปลา เต่าทะเล กุ้ง หอย เป็นต้น กินเข้าไปจะเกิดอันตรายกับสิ่งมีชีวิตในทะเล ซึ่งเป็นแหล่งอาหารของมนุษย์
ไม่ใช่แค่เรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมเท่านั้นที่น่ากังวล แหล่งอาหารของมนุษย์อย่าง อาหารทะเล ก็มีความเสี่ยงในการปนเปื้อนสารเคมีอันตราย หากกินเข้าไปอาจทำให้ร่างกายได้รับสารโลหะหนัก กำมะถันและ PAHs ซึ่งอาจเป็นอันตรายเฉียบพลันกับร่างกาย หรืออาจส่งผลกับสุขภาพในระยะยาวได้
เหตุการณ์น้ำมันรั่วศรีราชาอาจส่งผลกับห่วงโซ่อาหาร หากมีการจับสัตว์ทะเลบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงกับน้ำมันรั่วชลบุรี เช่น พื้นที่เกาะสีชัง, เกาะค้างคาว, แหลมฉบัง, อ่าวอุดม, ศรีราชา หรือบางพระ เป็นต้น
นักวิชาการแนะนำว่าหน่วยราชการต้องสุ่มตรวจสารไฮโดรคาร์บอน, โลหะหนัก, กำมะถัน ก่อนว่าในอาหารทะเลปนเปื้อนหรือเปล่า? มีค่าเกินมาตรฐานหรือไม่? แล้วแจ้งประชาชนให้ทราบ และที่สำคัญควรปรุงอาหารให้สุกก่อนรับประทาน
ที่มา : FB Sonthi Kotchawat
เนื้อหาที่น่าสนใจ :