จีนเผยศักยภาพพลังงานสะอาดในประเทศ แซงหน้าถ่านหินแล้ว

ประเทศจีน ในฐานะประเทศผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งเป็นตัวการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุดในโลก ได้ให้คำมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้เหลือศูนย์ภายในปี 2030 และบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2060

แม้ว่าประมาณร้อยละ 60 ของพลังงานของจีนจะมาจากถ่านหิน แต่ประเทศนี้ก็ยังถือว่าเป็นศูนย์กลางด้านพลังงานหมุนเวียน ด้วยกำลังการผลิตพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ได้มากเกือบสองเท่าของประเทศอื่นๆ รวมกัน

โดยหน่วยงานด้านพลังงานแห่งชาติของจีนเปิดเผยว่า ในไตรมาสแรกของปีนี้ จีนมีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งใหม่ทั้งหมด 74.33 ล้านกิโลวัตต์ ส่งผลให้กำลังการผลิตที่ติดตั้งสะสมอยู่ที่ 1.482 พันล้านกิโลวัตต์ ซึ่งเกินขีดความสามารถโรงไฟฟ้าถ่านหิน (1,451 พันล้านกิโลวัตต์) เป็นครั้งแรก

จากความสำเร็จดังกล่าว ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวว่า ไม่ว่าสถานการณ์ระหว่างประเทศจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม ความพยายามในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะไม่ชะลอตัวลง

สี จิ้นผิง กล่าวด้วยว่า จีนจะประกาศพันธกรณีในการลดก๊าซเรือนกระจกปี 2035 หรือที่เรียกว่า การมีส่วนสนับสนุนที่กำหนดในระดับชาติ (NDC) ก่อนการประชุม COP30 ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งจะครอบคลุมก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด ไม่ใช่แค่คาร์บอนไดออกไซด์เท่านั้น

ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ถอนสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศผู้ก่อมลพิษมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก ออกจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมทั้งให้คำมั่นว่าจะขยายการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างกว้างขวาง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพลังงานหมุนเวียนจะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่จีนก็ยังเริ่มก่อสร้างโครงการพลังงานถ่านหินขนาด 94.5 กิกะวัตต์เมื่อปีที่แล้ว และการผลิตถ่านหินของจีนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สวนทางกับคำมั่วที่ระบุว่าจะควบคุมพลังงานถ่านหินอย่างเคร่งครัด