SHORT CUT
นับถอยหลังปีใหม่ 2568 หลายคนมีแพลนเที่ยวเส้นทางระยะไกล เพื่อสัมผัสอากาศหนาว โดยเฉพาะการใช้รถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่สะดวกสบายมากขึ้น ที่สำคัญประหยัดค่าพลังงาน ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวของคนยุคใหม่ ก่อนเดินทางไกลอย่าลืมเช็กสภาพรถยนต์ไฟฟ้าให้ดีก่อน
ก่อนสตาร์ทรถออกเดินทางด้วยรถไฟฟ้า ต้องเช็กให้ชัวร์ กับ 5 สิ่งสำคัญ ช่วยเพิ่มความมั่นใจ เพราะ well begun is half done แค่เริ่มต้นดีก็ถือว่าทริปนี้สำเร็จไปแล้วครึ่งทาง
- ไม่ควรปล่อยให้แบตเตอรี่เหลือน้อยกว่า 20% บ่อยครั้ง เพราะอาจทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพไวกว่ากำหนด
- ไม่ควรชาร์จเร็ว (DC Fast Charging) บ่อยเกินไป เนื่องจากการชาร์จเร็วจะใช้กระแสไฟฟ้าที่สูงกว่าปกติ ทำให้ความร้อนสะสมในแบตเตอรี่ ผลลัพธ์คือแบตเตอรี่จะเสื่อมสภาพไวไม่ต่างจากการทิ้งให้แบตเหลือน้อยกว่า 20%
- ไม่ควรจอดรถยนต์ไฟฟ้าไว้กลางแจ้งบ่อย เพราะแสงแดดที่ร้อนจัดจะทำให้แบตเตอรี่ได้รับความร้อนสูง ส่งผลให้อายุการใช้งานสั้นลงตามมาด้วย หากไม่แน่ใจในสภาพการทำงานของแบตเตอรี่ แนะนำให้นำรถไฟฟ้าเข้าศูนย์เพื่อเช็กสภาพความพร้อมของแบตเตอรี่ก่อนออกเดินทาง
- รถยนต์ที่มีขนาดเล็ก ควรเติมลมยางประมาณ 25-30 PSI
- รถยนต์ที่มีขนาดกลาง ควรเติมลมยางประมาณ 30-35 PSI
- รถกระบะที่เน้นการท่องเที่ยว ผจญภัย ไม่เน้นการบรรทุกของที่มีน้ำหนักเยอะ ควรเติมลมยางประมาณ 35-40 PSI
หรือหากสังเกตว่าการแตะเบรกขณะขับขี่ดูให้ผลลัพธ์แปลกไปจากทุกครั้ง ควรนำรถยนต์ไฟฟ้าเข้าไปเช็กสภาพเบรกที่ศูนย์บริการรถ เพราะหากสภาพเบรกลดลง อาจเพราะเกิดความเสียหายได้จากหลากหลายสาเหตุ เช่น ระบบเบรกเกิดการสึกหรอ หรือลูกสูบเบรกมีปัญหา
ความเร็วที่เหมาะสมสำหรับการขึ้น-ลงภูเขา ในการขับรถยนต์ไฟฟ้าขึ้นภูเขาควรมีความเร็วอยู่ที่ประมาณ 50-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และการขับรถยนต์ไฟฟ้าลงภูเขาควรมีความเร็วอยู่ประมาณที่ 30-50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นความเร็วที่ค่อนข้างปลอดภัยและช่วยให้เบรกไม่ทำงานหนักจนเกินไป รวมถึงเว้นระยะจากคันหน้าประมาณ 30-50 เมตร เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ฉุกเฉินอื่น ๆ ที่ไม่คาดคิด
ทั้งนี้ สำหรับน้ำหนักของสัมภาระในการบรรทุกของเพื่อออกทริปในเส้นทางดังกล่าวควรพิจารณาตามความเหมาะสมของรถแต่ละรุ่นเพื่อไม่ให้หนักเกินไป เพราะน้ำหนักที่เยอะจะส่งผลต่อประสิทธิภาพของการเร่งของเครื่องยนต์
สิ่งที่อันตรายไม่ต่างจากการละสายตาบนท้องถนนขณะขับขี่ คือ การละสายตาและละความสนใจจากสัญญาณต่าง ๆ ที่ขึ้นมาบนแผงหน้าปัดรถ โดยปกติสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่ขึ้นมาจะมีสีอยู่ 3 ระดับ ได้แก่ สีเขียว สีส้มหรือสีเหลือง และสีแดง คล้ายสัญญาณไฟจราจร แต่ละสีบ่งบอกถึงความเร่งด่วนในแต่ละระดับ
ซึ่งสีเขียวหมายถึงปลอดภัย สีส้มหรือสีเหลืองหมายถึงเริ่มไม่ปลอดภัย และสีแดงหมายถึงอันตราย นอกเหนือจากสีแล้วผู้ขับขี่ควรรู้ควายหมายของสัญลักษณ์ที่จำเป็น เช่น สัญลักษณ์พร้อมขับขี่ สัญลักษณ์การปิดประตูรถไม่สนิท สัญลักษณ์แจ้งเตือนแรงดันลมยาง และสัญลักษณ์แจ้งเตือนความจุแบตเตอรี่
สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าจะมีระบบเบรก 2 ระบบ ได้แก่ ระบบเบรกธรรมดา และระบบเบรก Regenerative Breaking โดยผู้ใช้งานสามารถประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ได้ เพียงเลือกใช้ระบบ Regenerative Breaking โดยสังเกตสัญลักษณ์ของระบบเบรกนี้จากแผงหน้าปัดได้ ซึ่งระบบเบรกนี้เป็นการเหยียบเบรกที่สร้างพลังงานจลน์ และการเบรกนั้นจะถูกส่งกลับไปเป็นพลังงานที่แบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้ทุกแรงที่เหยียบไปไม่เสียเปล่า อีกทั้งยังสามารถกู้คืนพลังงานได้มากถึง 70% ที่เกิดจากกระบวนการเบรก ช่วยยืดอายุชิ้นส่วนเบรกรถยนต์
เมื่อออกทริปในเส้นทางภูเขาสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับระบบเบรก Regenerative Breaking คือ การไม่ชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็ม 100% แต่ควรชาร์จให้อยู่ประมาณที่ 80-90% เพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าการวางแผนที่ดี คือ การดูสถานีชาร์จไว้ล่วงหน้า ในทุก ๆ การเดินทางควรตรวจสอบจุดชาร์จให้ชัดเจน และจองสถานีชาร์จไว้ล่วงหน้า เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ สามารถจองสถานีชาร์จได้ง่าย ๆ ในแอปพลิเคชัน GWM THAILAND เมื่อโหลดแอปฯ เรียบร้อยแล้วสามารถทำการจองได้ทันทีโดยในแอปพลิเคชันนี้สามารถชำระได้ทั้งแบบเติมเงินและผ่านบัตรเครดิต ทำให้ลดการยุ่งยากในการออกทริป ประหยัดเวลาในการเดินทาง