SHORT CUT
โตโยต้า (Toyota) อาจเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์เก่าแก่ที่พัฒนายานยนต์ไฟฟ้าช้าที่สุด แต่บริษัทอาจจะเป็นเจ้าแรกที่เลิกผลิตรถยนต์เบนซินและหันไปเน้นผลิตรถไฮบริดแทน ซึ่งเราอยากชวนมาดูกลยุทธ์ไฮบริดของโตโยต้ากันว่าน่าสนใจแค่ไหน
โตโยต้า เริ่มเปิดตัวรถยนต์ไฮบริดรุ่นแรกที่เราคุ้นเคยกันดีอย่าง Prius มาแล้วเกือบ 3 ทศวรรษ และล่าสุดดูเหมือนว่าบริษัท กำลังวางแผนให้ Toyota และ Lexus ทุกรุ่นเปลี่ยนเป็นรุ่นไฮบริดทั้งหมดเพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ใช้และปรับตัวเข้าหากฎระเบียบทางมลพิษที่กำลังใกล้เข้ามา
ท่ามกลางกระแสกดดันมากมายไม่ว่าจะเป็นนโยบายส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้าของหลายประเทศ หลากหลายค่ายรถยนต์ทั่วโลกต้องปรับตัว แต่โตโยต้ายังคงยึดมั่นใน "เทคโนโลยีไฮบริด" ชวนมาดูแนวคิดน่าสนใจของประธานบริษัทโตโยต้า อากิโอะ โตโยดะ ที่ได้กล่าวเมื่อเดือนมกราคมว่า "เขาเชื่อว่าส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกจะอยู่ที่เพียง 30% เท่านั้น"
โตโยต้าได้เสนอแผนกลยุทธ์อันแตกต่าง การใช้พลังงานทางเลือกหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า, ไฮบริด, รถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน หรือเชื้อเพลิงสีเขียวและเทคโนโลยีอื่นๆที่อาจพัฒนาเกิดขึ้นในอนาคต
ปัจจุบัน Toyota ได้แสดงถึงความมุ่งมั่นด้านเทคโนโลยีไฮบริดอย่างเต็มที่ ซึ่งรถรุ่นที่ขายดีที่สุดในอเมริกาอย่าง Toyota Camry ปี 2025 รุ่นล่าสุด ก็เป็นรุ่นที่ทางบริษัทได้ตัดสินใจเลิกจำหน่ายรุ่นเบนซิน และเลือกจำหน่ายเฉพาะรุ่นToyota Camry Hybrid 2025 เท่านั้น ในขณะเดียวกันรุ่นอื่นๆอย่าง Land Cruiser หรือมินิแวนอย่าง Sienna ก็มีจำหน่ายเฉพาะรุ่นไฮบริดเช่นกัน
มีการคาดการณ์ว่า รถยนต์รุ่นไฮบริดที่ว่ามา มีแนวโน้มว่าโตโยต้าจะพัฒนามาในรูปแบบ PHEV ที่มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่กว่าเดิม แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ยังไม่มีรายงานถึงความพยายามของ Toyota ที่จะแปลงรถยนต์รุ่นทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดในอเมริกาเหนือให้เป็นรถยนต์ไฮบริด และนี่เป็นเพียงสัมภาษณ์สั้นๆจากสำนักงานข่าวต่างประเทศ
โดยแผนของกลยุทธ์ไฮบริดของโตโยต้า เลือกที่จะพัฒนาไฮบริดรุ่นใหม่เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและตอบสนองความต้องการของตลาดที่หลากหลาย, เร่งพัฒนารถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และค่อยๆลดการพึ่งพาเครื่องสันดาปภายในในที่สุด
อย่างไรก็ตามบริษัท Toyota ยังคงวางแผนตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกให้ได้สัดส่วน 30% ภายในปี 2030 และต้องการรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดรถยนต์โดยรวมด้วย
กลยุทธ์ไฮบริดของโตโยต้าถือเป็นการตอบสนองต่อความท้าทายและโอกาสในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โตโยต้ากำลังเดินหน้าพัฒนารถยนต์ที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่แตกต่างกัน และเพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์โลก
ยอดขายรถยนต์ไฮบริดที่พุ่งสูงของโตโยต้าอาจช่วยให้ผู้ผลิตรถยนต์ประหยัดค่าปรับและต้นทุนด้านกฎระเบียบได้หลายพันล้านดอลลาร์
ในมุมมองผู้บริโภคอย่างเราก็ดูเหมือนจะได้ผลประโยชน์จากการแข่งขันทั่วโลก ฝั่งญี่ปุ่นเองก็มีการเร่งพัฒนาเครื่องยนต์ขนาดเล็กเพื่อตอบสนองกับเทคโนโลยีไฮบริดที่สามารถประหยัดน้ำมันให้ได้มากที่สุด เพื่อมาซื้อเวลาในการพัฒนาและไม่ทำให้ยอดขายตกลง พร้อมก่อนหน้านี้ยังได้ประกาศแผนการลงทุน 35,000 ล้านดอลลาร์ในแบตเตอรี่ใหม่และแพลตฟอร์ม EV อีกด้วย
เราอาจจะได้เห็น Toyota Corolla ไฮบริดหรือปลั๊กอินไฮบริด วางจำหน่ายในปี 2026 ในจีนและสหรัฐฯซึ่งต้องมาลุ้นกันอีกทีว่าจะเข้ามาจำหน่ายในไทยหรือไม่ และจะทำราคาได้น่าสนใจแค่ไหน อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีไฮบริด, ปลั๊กอินไฮบริด ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ สำหรับคนที่ไม่ต้องการหาสถานีชาร์จ, จุกจิกเรื่องค่าประกันต่างๆ แต่ต้องการแค่ความประหยัด เซฟค่าใช้จ่ายเรื่องน้ำมัน ซึ่งนี่ทำให้โตโยต้าอาจเข้ามาตีตลาดในช่วงเปลี่ยนผ่านของรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกได้เป็นอย่างดี
ที่สำคัญเทคโนโลยีไฮบริดถ้าจะพูดถึงเรื่องอัตราเร่ง ในยุคก่อนๆ Toyota Prius อาจทำได้ไม่ดี แต่ในรุ่นปัจจุบัน เทคโนโลยีไฮบริดของ Toyota สามารถทำได้ดีกว่ารถสันดาปทั่วๆไป ซึ่งในอเมริกาเหนือโตโยต้ารุ่นไฮบริดสามารถเพิ่มเงินซื้อได้ในราคาไม่ถึง 2,000 ดอลลาร์ หรือราวๆ 68,000 บาท ก็จึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคนที่ต้องการความประหยัดน้ำมันที่มาพร้อมอัตราเร่งที่ดีขึ้นด้วย
ยอดขายรถยนต์ไฮบริดที่พุ่งสูงขึ้นเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผลกำไรและราคาหุ้นของ Toyota พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ ซึ่งนี่อาจทำให้บริษัทสัญชาติญี่ปุ่นไม่ต้องเร่งรีบในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ามากนัก แต่อย่างไรก็ยังต้องแข่งขันกับรถไฮบริดในฝั่งจีนอยู่ดี
ปัจจุบันในประเทศไทยก็มี Toyota Yaris Cross Hybrid จำหน่ายในไทย ซึ่งจากข้อมูลที่โตโยต้าให้ไว้ มีทั้งอัตราสิ้นเปลืองต่ำสุด 26.3 กม./ลิตร ซึ่งตอบโจทย์สำหรับผู้ใช้ที่ไม่อยากกังวลเรื่องสถานีชาร์จ, ค่าประกันต่างๆที่เพิ่มขึ้นมา รถไฮบริดรุ่นนี้จึงกลายเป็นตัวเลือกที่คนให้ความสนใจมากกว่าการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า
ย้อนกลับมาที่ฝั่งค่ายรถสัญชาติจีน ล่าสุดนี้ทาง MG3 Hybrid+ ก็ได้มาเปิดตัวในประเทศไทย คาดว่าจะมาในราคาราวๆ 5-6 แสนบาท ที่สำคัญเป็นรุ่นประกอบไทยใน จ.ชลบุรี เห็นได้ว่าฝั่งจีนก็รุกตลาดทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็น BYD Seal DM-i ที่มีรุ่นไฮบริดออกมาในราคาไม่ถึง 1 ล้านบาท ซึ่งอาจมาแย่งชิงยอดขายฝั่งญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี ซึ่งก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่าใครจะทำรถออกมาได้ตอบโจทย์ผู้ใช้ได้มากกว่ากัน
ที่มา : reuters