การกักเก็บคาร์บอนที่ใต้อ่าวไทย เป็นอีกหนึ่งหนทางการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2030 และ 2050
ตอนนี้โลกกำลังเผชิญวิกฤติทางสภาพภูมิอากาศโลก และก้าวเข้าสู่สภาวะความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยปัจจุบันเทคโนโลยีการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture & Storage: CCS) ถือว่าพิสูจน์แล้วว่ามีความเป็นไปได้และมีโครงการ CCS เกิดขึ้นมากกว่า 300 โครงการทั่วโลก
ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานที่ปราศจากคาร์บอน โครงการทดลองกักเก็บคาร์บอนที่เกิดจากการผลิตก๊าซธรรมชาติจากแหล่งอาทิตย์ในอ่าวไทย มีเป้าหมายกักเก็บคาร์บอน 1 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2027 ด้วยเงินลงทุนประมาณ 300-400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ในส่วนของประเทศไทย หากจะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ให้ได้ตามเป้าหมาย จะต้องลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนให้ได้ถึง 40 ล้านปี ซึ่งถือว่าเรื่องที่ไม่ง่าย เพราะถ้าเทียบกับการปลูกป่า 1 ล้านไร่ จะสามารถลดปริมาณคาร์บอนได้เพียง 1-2 ล้านตันต่อปี
เนื่องจากโครงการกักเก็บคาร์บอนนี้ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก และมีผู้ร่วมทุนจากต่างประเทศ ภาครัฐจึงควรมีการกำหนดกลไกทางด้านคาร์บอนเครดิต หรือภาษีคาร์บอน รวมถึงกฎระเบียบที่ชัดเจนในการติดตาม ตรวจสอบคาร์บอนที่กักเก็บ และภาระผูกพันต่าง ๆ ที่จะเอื้อให้โครงการนี้สามารถเกิดขึ้นได้
นายชนะ ภูมี ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การบริหารความยั่งยืน บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือเอสซีจี กล่าวว่า กรอบทางด้านกฎหมายและสิทธิประโยชน์มีความสำคัญมาก ที่จะช่วยให้ประเทศและภาคธุรกิจสามารถเปลี่ยนความท้าทายที่มาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นโอกาสได้ ยกตัวอย่างเช่น นอร์เวย์มีโครงการ Northern Lights เพื่อรองรับการกักเก็บคาร์บอนจากประเทศในสหภาพยุโรป หรือกฎหมายการปรับลดเงินเฟ้อ (Inflation Reduction Act) ที่ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายทุนจำนวนมหาศาลสู่สหรัฐฯ
นายวรพงษ์ นาคฉัตรีย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารความยั่งยืน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ถ้าประเทศไทยต้องการจะบรรลุเป้า Net Zero ภายในปี 2050 จะต้องทำ 3 อย่าง ให้สำเร็จคือ
1) เพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทนจาก 17% เป็น 50%
2) เพิ่มสัดส่วนการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าจาก 10% เป็น 30%
3) เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน 30% ภายในปี 2037
“การใช้พลังงานมีส่วนทำให้โลกนี้ร้อนขึ้นอย่างน้อย 70% ของทั้งหมด แต่วันนี้ก๊าซและน้ำมันยังจำเป็น และกว่าจะลดได้อาจจะเลยปี 2030 หรือ 2040 ไปแล้ว” ผู้บริหาร ปตท.กล่าวย้ำถึงความจำเป็นในการจัดการช่วงเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานไปสู่สังคมไร้คาร์บอน