กระทรวงพลังงาน เปิดแผนรับมือพยุงราคาน้ำมันดีเซล หลังกระทรวงการคลัง ไม่ต่อมาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซล 5 บาทต่อลิตร เดินหน้าสื่อสารประชาชนปรับตัวรับมือหากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ล่าช้า พร้อมเปิดแผนชัดเจนสัปดาห์หน้า อัปเดตกองทุนน้ำมันติดลบรวม 52,270 ล้าน
ประชาชนยังคงต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดราคาน้ำมันดีเซล หลังกระทรวงการคลัง ไม่ต่อมาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซล 5 บาทต่อลิตร ล่าสุดมีความคืบหน้าจากกระทรวงพลังงาน ว่าได้รับทราบแนวทางการดำเนินมาตรการลดภาษีสรรพสามิตเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันดีเซล โดยตั้งแต่วันที่ 20 ก.ค. 2566 เป็นต้นไป รัฐบาลจะไม่ต่ออายุการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 5 บาทต่อลิตรแล้ว และให้เป็นอำนาจการตัดสินใจของรัฐบาลใหม่
โดยในขณะนี้คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้เตรียมแนวทางรักษาเสถียรภาพราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ตามแผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อบรรเทาผลกระทบค่าครองชีพของประชาชน โดยใช้กลไกสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) เป็นตัวตั้ง ซึ่งคาดว่าจะหารือให้ได้ข้อสรุปที่มีความชัดเจนภายในสัปดาห์หน้า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ราคาน้ำมันไทย สัปดาห์ที่ผ่านมาขาขึ้น พาเทียบอาเซียน ประเทศไหนแพงกว่ากัน ?
จับตา ! ราคาน้ำมันไบโอดีเซลไทย จะขึ้นตามน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพโลก หรือไม่ !
สนพ. ชี้ ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพโลก มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น
สำหรับมาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซลเกิดขึ้นจากปัจจัยหลักคือ ปริมาณดีมานด์ และซัพพลายที่ไม่เหมาะสมจากวิกฤติโควิด-19 ทำให้หลายประเทศต้องปิดประเทศ ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันจึงได้ลดน้อยลง ส่งผลให้กลุ่มโอเปกลดกำลังการผลิตลง และเมื่อโควิดคลี่คลายลง เศรษฐกิจทั่วโลกฟื้นตัว ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันจึงปรับขึ้นทันที ส่งผลกระทรบต่อราคาที่พุ่งสูงขึ้นส่งผลให้ฐานะกองทุนน้ำฯ พยุงราคาน้ำมันเข้ามาอุ้มภาระสูงสุดถึงลิตรละ 14 บาท และบัญชีติดลบทะลุ 1.3 แสนล้านบาท
รัฐบาลจึงได้ออกมาตรการเพิ่มเติมโดยกระทรวงการคลังเข้ามาร่วมดูแลเพื่อให้ราคาน้ำมันดีเซลในประเทศราคาไม่สูงเกินลิตรละ 35 บาท ผ่านมาตรการลดภาษีสรรพสามิตรน้ำมันดีเซล 5 บาทต่อลิตร และใช้เงินอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันฯ ส่งผลให้ราคาน้ำมันดีเซลขายปลีกในประเทศไทยราคาต่ำกว่าหลายประเทศแต่ปัจจุบันด้วยข้อจำกัดทางกฎหมาย
สำหรับฐานะกองทุน ณ วันที่ 9 ก.ค.2566 กองทุนน้ำมันฯ ติดลบลดลงเหลือ 52,270 ล้านบาท จากที่เคยติดลบสูงสุด 1.3 แสนล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบลดลงเหลือ 6,598 ล้านบาท ส่วนบัญชีก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี) ติดลบลดลงเหลือ 45,672 ล้านบาท