SHORT CUT
เมื่อกางเกงยีนส์ตัวโปรดของเรา กำลังมีส่วนทำให้โลกร้อน อ่านแล้วอย่าเพิ่งไม่สบายใจ เพราะทางออกของเรื่องนี้ก็มีอยู่เหมือนกัน แต่ก่อนอื่นไปดูกันหน่อยดีกว่าว่า กางเกงยีนส์ 1 ตัว ทำให้โลกร้อนได้ยังไง?
แนะนำตัวละคร
* อ้างอิงจากข้อมูลของ ดร. ยา โจว นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีกวางตุ้ง
ดร. ยา โจว ระบุว่า กางเกงยีนส์ฟาสต์แฟชั่นมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนมากกว่ากางเกงยีนส์ (ที่ใส่เกิน 120 ครั้ง) มากถึง 95 – 99%
สำหรับกางเกงยีนส์แบบปกติ ที่มีการสวมใส่ซ้ำบ่อยหลายครั้ง จะปล่อยคาร์บอนอยู่ที่ 0.22 กิโลกรัม
ขณะที่ กางเกงยีนส์ฟาสต์แฟชั่นจะมีอัตราการปล่อยคาร์บอนอยู่ที่ 2.5 กิโลกรัมต่อการสวมใส่แต่ละครั้ง เพิ่มขึ้นยีนส์แบบปกติถึง 11 เท่า หรือเปรียบได้กับการขับรถ 10 กิโลเมตรเลยทีเดียว
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?
ดร. ยา โจว เผยว่า พฤติกรรมการบริโภคมากเกินไป หรือ Overconsumption ส่งผลให้มีการใช้ทรัพยากรและพลังงานมากขึ้นในอุตสาหกรรมเสื้อผ้า ห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดจะถูกเหยียบคันเร่งให้มีแต่ “รีบๆๆๆ” อาทิ การผลิต การขนส่ง การบริโภค (สวมใส่) ไปจนถึงการกำจัดทิ้ง
ด้วยเหตุนี้ บรรดาแบรนด์ฟาสต์แฟชั่นทั้งหลาย จึงมักนิยมขนส่งสินค้าทางอากาศมากกว่าการขนส่งสินค้าทางทะเล เพราะว่าการขนส่งทางอากาศใช้เวลาแค่ 1 – 5 วัน ขณะที่การขนส่งทางทะเลใช้เวลา 20 – 45 วัน
*ไม่ว่าเป็นการขนส่งรูปแบบใดก็ล้วนแล้วปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปทำร้ายโลกอยู่ดี
ในปี 2563 อุตสาหกรรมฟาสต์แฟชั่นทั่วโลกมีมูลค่าประมาณ 64.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และถูกคาดการณ์ว่าจะเติบโตเป็น 95 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2573
ตัวเลขหนึ่งที่น่าสนใจคือ ดร. ยา โจว ระบุว่า แบรนด์ฟาสต์แฟชั่นมักออกคอลเลกชันใหม่เร็วกว่าแบรนด์แฟชั่นทั่วไป หรือแฟชั่นเฮ้าส์ ประมาณ 25 เท่า มันจึงก่อให้เกิดวงจรการบริโภคที่สั้นแค่กระพริบตา แล้วก็วนเป็นลูปไปแบบนี้ ไม่จบสิ้น
สำหรับอุตสาหกรรมแฟชั่น (ทั้งหมด) คิดเป็น 10% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก และสร้างขยะประมาณ 92 ล้านตันในแต่ละปี ซึ่งบ่อยครั้งที่ขยะเหล่านี้ไม่ถูกกำจัดอย่างถูกต้อง หรือมักถูกส่งไปยังประเทศต่าง ๆ อาทิ กัวเตมาลา ชิลี
เอาแค่กางเกงยีนส์อย่างเดียว ดร. ยา โจว พบว่า หากคุณซื้อกางเกงยีนส์มือสองมาสวมใส่ ย้ำว่าต้องเป็นการไปเลือกซื้อที่หน้าร้านเท่านั้น จะสามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 90%
ยกตัวอย่างกรณีของประเทศจีน ที่ขณะนี้คน Gen Z กำลังเกิดเทรนด์สวมใส่เสื้อผ้าที่เป็นสินค้ามือสอง ด้วยความตั้งใจว่าอยากเป็นส่วนหนึ่งในการปกป้องสิ่งแวดล้อม ซึ่งคล้ายคลึงกับไทย ที่สินค้ามือสองก็เป็นที่ฮ็อตฮิตมาก
ที่มา: Daily Mail
ข่าวที่เกี่ยวข้อง