“วงแหวนคาร์บอนไดออกไซด์” สิ่งก่อสร้างอาคารที่ซับซ้อน ถูกสร้างกลางป่าแอมะซอน (Amazon) ประเทศบราซิล เพื่อทำความเข้าใจว่าป่าเขตร้อนที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างไร?
สำนักข่าว AP News รายงานว่าบราซิลกำลังก่อสร้าง “วงแหวนคาร์บอนไดออกไซด์” ในป่าแอมะซอน (Amazon) เป็นนวัตกรรมทำความเข้าใจป่าเขตร้อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างไร?
“วงแหวนคาร์บอนไดออกไซด์” เป็นอาคารที่ซับซ้อนที่เรียงกันเป็นวงแหวน 6 วง พร้อมพ่นละอองก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ป่าฝน เหตุผลก็คือเพื่อทำความเข้าใจว่าป่าเขตร้อนที่ใหญ่ที่สุดในโลกสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ยังไงบ้าง โดยการก่อสร้างวงแหวนสองวงแรกกำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการ และคาดว่าจะเปิดใช้งานได้ภายในต้นเดือนสิงหาคม วงแหวนแต่ละวงจะประกอบด้วยหอคอยอะลูมิเนียม 16 อัน สูงเท่ากับตึก 12 ชั้น
โดยนวัตกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ AmazonFACE เพื่อสำรวจความสามารถของป่าในการกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก สิ่งนี้จะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจว่าภูมิภาคนี้มีจุดเปลี่ยนที่อาจทำให้เข้าสู่ภาวะเสื่อมโทรมอย่างไม่อาจย้อนกลับได้หรือไม่?
เนื้อหาที่น่าสนใจ :
ถอดรหัสความยั่งยืน ผ่านทัศนะ "สุวรรณี สิงห์ฤาเดช" ซีอีโอซีเมนส์ ประเทศไทย
พายุไต้ฝุ่นมาวาร์ ศูนย์กลางอยู่มหาสมุทรแปซิฟิก ไม่เคลื่อนเข้าไทย
พาดู ! ผลศึกษาถนนพลาสติกรีไซเคิล1 กม.ลดขยะ 600 กก.ช่วยลดปล่อยคาร์บอน
“วงแหวนคาร์บอนไดออกไซด์” ตั้งอยู่ห่างจากเมืองมาเนาส์ไปทางเหนือ 70 กม. (44 ไมล์) นำโดยสถาบันแห่งชาติเพื่อการวิจัยแอมะซอน ซึ่งเป็นสถาบันของรัฐบาลกลาง โดยได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากรัฐบาลอังกฤษซึ่งให้คำมั่นสัญญา 9 ล้านดอลลาร์ ซึ่งน่าจะใช้งานได้เต็มรูปแบบภายในกลางปี 2567
โครงการ AmazonFACE ย่อมาจาก Free Air CO2 Enrichment เทคโนโลยีนี้พัฒนาขึ้นครั้งแรกโดย Brookhaven National Laboratory ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับนิวยอร์กซิตี้ มีความสามารถในการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมโดยรอบของพืชที่กำลังเติบโตในลักษณะที่จำลองระดับความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศในอนาคต
David Lapola หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโครงการกล่าวว่า มีหลักฐานจากการทดลองที่คล้ายคลึงกันในป่าเขตอบอุ่น แต่ไม่มีการรับประกันว่าจะเหมือนกันในแอมะซอน
นอกจากนี้ยังให้เหตุผลว่าจุดเปลี่ยนของป่าฝนแอมะซอนมีแนวโน้มเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากกว่าอัตราการตัดไม้ทำลายป่า จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องศึกษาผลกระทบความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในป่าที่สูงขึ้น เพื่อทำความเข้าใจสิ่งที่รออยู่ข้างหน้า
มุมมองนี้ท้าทายการศึกษาที่ยกมาอ้างอย่างกว้างขวางโดยนักวิทยาศาสตร์ระบบโลก Carlos Nobre จากข้อมูลของ Nobre ระบุว่า หากการตัดไม้ทำลายป่าถึงขั้นวิกฤตที่ 20% - 25% ทั่วทั้งแอมะซอน ความสมดุลของระบบปริมาณน้ำฝนของภูมิภาคนี้จะหยุดชะงัก นำไปสู่การเปลี่ยนสภาพของป่าฝนที่เขียวชอุ่มให้กลายเป็นทุ่งหญ้าสะวันนา
ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ