ได้ฉายา ปีศาจคลื่นความร้อนแห่งเอเชีย หลังหลายประเทศทุบสถิติคลื่นความร้อน

จังหวัดตาก ประเทศไทยมีอุณหภูมิความร้อนพุ่งสูงแตะ 45 องศาเซลเซียส ก็มากพอที่จะทำให้ชาวต่างชาติต่างตกใจกับความร้อนสูงปรี๊ดแบบนี้ จนทำให้ความร้อนในเอเชียได้ฉายาใหม่ว่า “ปีศาจคลื่นความร้อนแห่งเอเชีย”  (Monster Asian Heatwave) สาเหตุที่ได้ฉายานี้เพราะไม่ใช่แค่ที่ไทยเท่านั้น ตอนนี้หลายประเทศทั่วทวีปเอเชียทุบสถิติเผชิญคลื่นความร้อนสูงสุดกันระนาว อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

Thailand 🇹🇭 just measured over 45°C for the first time on record. A new national heat record has been set.

A brutal heatwave tightens its grip across more than a dozen countries in Asia.

[THREAD] pic.twitter.com/I1Ej3lOEMg

— Scott Duncan (@ScottDuncanWX) April 15, 2023

ประชากรทั่วทั้งทวีปเอเชียก็กำลังเปิดเครื่องปรับอากาศและพัดลมในปริมาณมหาศาล ผลที่ตามมาคือปัญหาค่าไฟก็ทำคนไทยปวดหัวมากพออยู่แล้ว อากาศร้อนที่หนักหน่วงขึ้นจะทำให้เรายิ่งรู้สึกแย่กันไปใหญ่ เศรษฐกิจก็ไม่ดี บ้างก็ไปเดินเล่นในห้างสรรพสินค้าหรือสำนักงาน บ้างก็ภาวนาขอฝนให้ฝนรีบตกลงมา

ผู้เชี่ยวชาญเผยว่า เดือนเมษายนปี 2023 นี้ ทวีปเอเชียประสบปัญหา “คลื่นความร้อนเดือนเมษายนที่เลวร้ายที่สุด” เนื่องจาก นักอุตุนิยมวิทยาเผยว่า อินเดีย ไทย และเมียนมาร์ อุณหภูมิแตะถึง 45 องศาเซลเซียส ในขณะที่บังคลาเทศ ลาว เวียดนาม เนปาล และจีน แตะ 42-43 องศาเซลเซียส

(1) Monster Asian Heat Wave like none before
Heat spread to Japan and Koreas with 30C
Yongwol in South Korea 30.0C today,more 30C+ tomorrow
In China up to 41.9C in Yunnan and 30/35C in the North
Mengla beat its monthly record with 38.3C
Records are falling allover
tbc later... pic.twitter.com/7gvWaecTuE

— Extreme Temperatures Around The World (@extremetemps) April 19, 2023

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

• รู้ยัง? ไทยค่าไฟแพง ! เบอร์ 4 ของภูมิภาคอาเซียน รอง สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ กัมพูชา

• เตรียมเก็บน้ำรอ! แบบจำลองสภาพอากาศโลกทำนาย โลกกำลังเกิดซูเปอร์เอลนีโญ

• นักวิจัยชี้ ปริมาณน้ำทั่วโลกไม่สมดุล คนรวยใช้น้ำมากเกินจนคุกคามอุปทานโลก

คลื่นความร้อนที่พุ่งสูงเหล่านี้ได้ทำให้คนเสียชีวิตจากโรคลมแดดไปจำนวนมาก แถมยังทำให้เกษตรกรหลายรายไม่มีรายได้เนื่องจากพืชผลทางการเกษตรเสียหายจากควาวมร้อนจัดที่เกิดขึ้น จนถึงขนาดที่ว่าชาวต่างชาติไม่สามารถทนได้เมื่อต้องเผชิญกับอุณหภูมิสูงขนาดนี้

• อินเดียมีผู้เสียชีวิตจากโรคลมแดดแล้วอย่างน้อย 13 รายในเดือนนี้
• อินโดนีเซีย ทดลองตอกไข่นกกระทาลงบนกระทะที่วางบนพื้นร้อน ๆ ใต้แสงแดด ผลคือไข่สุก
• ฟิลิปินส์ เด็กมัธยมศึกษาเกือบ 150 คนในกรุงมะนิลาป่วยเป็นโรคลมแดด หลังไฟฟ้าดับในโรงเรียน
• บังคลาเทศมีความต้องการใช้ไฟฟ้ามากขึ้น แต่เพราะเป็นประเทศยากจนจึงทำให้ประชากรหลายล้านคนถูกตัดไฟในหน้าร้อน

ในความเป็นจริง ความร้อนที่แผดเผาได้กระจายไปทั่วพื้นที่ส่วนใหญ่ของเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา และส่งผลกระทบมากกว่า 10 ประเทศ รวมถึง อินเดีย จีน ไทย ลาว บังคลาเทศ เติร์กเมนิสถาน ญี่ปุ่น และเกาหลี

• เตือน ! ผู้เลี้ยงสัตว์น้ำรับมือภัยแล้ง แนะ 10 วิธีข้อควรปฏิบัติให้รอด

• เอลนีโญกำลังมา แต่โลกไม่พร้อมรับมือ ปี 2023 สภาพอากาศทั่วโลกแปรปรวนมากขึ้น

นักภูมิอากาศวิทยาและนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่า นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความแห้งแล้งอันยาวนาน ซึ่งจะรุนแรงขึ้นจากปรากฎการณ์สภาพอากาศเอลนีโญที่จะเกิดขึ้นในปลายปี 2023 นี้ พวกเขาจึงขอเตือนชาวเอเชียให้เตรียมความพร้อมกับอากาศที่จะยิ่งร้อนมากขึ้นไปอีก

Jason Nicholls นักอุตุนิยมวิทยาของ AccuWeather กล่าวว่าภาวะโลกร้อนที่เกิดจากมนุษย์ทำให้คลื่นความร้อนอยู่ได้นานขึ้นและมีความเข้มสูงขึ้น และผลที่ตามมาคือความท้าทายด้านสาธารณสุขในอีกหลายปีข้างหน้าและทำให้ประชากรอ่อนแอลง และนำไปสู่ภาวะอดอยากของประชากรมากกว่า 1 ล้านราย

นักวิทยาศาสตร์หลายคน รวมถึงกรมอุตุนิยมวิทยาของไทยก็มองเห็นตรงกันในเรื่องของต้นตอคลื่นความร้อนรุนแรงว่าเป็นผลมาจากการที่มนุษย์ ยังคงเผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิล เอลนีโญจะเกิดยาวนานมากขึ้นไปอีกภายใน 2-3 ปีต่อจากนี้ หมายความว่า ทุกช่วงฤดูร้อนต่อจากนี้เราจะได้สถิติความร้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ และแก้ไขไม่ได้แล้ว นี่คือคำเตือนจากนักพยากรณ์

และในช่วงนี้ ความร้อนยิ่งทำให้คนเราต้องใช้พลังงานเพิ่มขึ้น เช่น เปิดแอร์ เปิดไฟ เปิดพัดลม ซึ่งแน่นอนไม่เพียงแค่ค่าไฟเท่านั้นที่สูงขึ้น แต่มันทำให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นจากการใช้พลังงานไฟฟ้าเหล่านี้ด้วย อีกทั้งส่วนใหญ่ในเอเชียคือประเทศยากจนและกำลังพัฒนา การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดจึงยังมีน้อยอยู่มาก และใช่ มันแก้ไขไม่ทันแล้ว กับฤดูร้อนนี้ ขอให้ดูแลสุขภาพด้วย

ที่มาข้อมูล

The Straits Times

The Independent