svasdssvasds

เครือซีพี ชู 3 ยุทธศาสตร์ ยกระดับชีวิตคนไทยสู่ความยั่งยืน

เครือซีพี ชู 3 ยุทธศาสตร์ ยกระดับชีวิตคนไทยสู่ความยั่งยืน

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ร่วมเวทีสัมมนา Sustainability Forum 2023 แสดงศักยภาพการดำเนินธุรกิจอย่างไรให้สังคมไทยยั่งยืน

วานนี้ (30 พ.ย. 2565) นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด หรือ เครือซีพี กล่าวบรรยายพิเศษในหัวข้อ Sustainability Mega Trend 2023 บนเวทีสัมมนา Sustainability Forum 2023 ของกรุงเทพธุรกิจ โดยเครือซีพีได้ประกาศยุทธศาสตร์ และเป้าหมายความยั่งยืนสู่ปี 2030 ภายใต้ยุทธศาสตร์ 3 Hs คือ Heart – Living Right, Health – Living Well และ Home – Living Together รวม 15 เป้าหมายในดำเนินธุรกิจด้วยความยั่งยืน

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด หรือ เครือซีพี โดยมีเป้าหมายสำคัญที่ต้องทำให้สำเร็จในปี 2030 ประกอบด้วย 3 เป้าหมายหลัก คือ

  1. เป้าหมายสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2030 (Carbon neutrality) เพื่อมุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 (Net zero emissions)
  2. เป้าหมายการลดปริมาณขยะจากอาหารเป็นศูนย์ (Zero food waste) และ
  3. เป้าหมายการลดของเสียที่ถูกนำไปฝังกลบต้องเป็นศูนย์ (Zero waste to landfill)

นายศุภชัย กล่าวว่า ในวันนี้โลกมีความท้าทายสำคัญ 3 ด้านที่ต้องปรับตัวเปลี่ยนแปลง คือ 1.ความเหลื่อมล้ำ 2.การปรับตัวสู่ดิจิทัล 3.ความยั่งยืนและการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ซึ่งทั้งหมดเกี่ยวข้องเป็นลูกโซ่ ดังนั้นทั้งภาครัฐและเอกชน จะต้องร่วมกันขับเคลื่อนความท้าทายเหล่านี้ร่วมกัน

โดยเฉพาะความร่วมมือในการผลักดันให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะมาช่วยขับเคลื่อนโลกที่ยั่งยืนขึ้น เพราะวันนี้ทุกเรื่องอยู่บนพื้นฐานเทคโนโลยีทั้งหมด การที่ภาครัฐและเอกชนมีความตระหนักรู้ที่จะนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาขับเคลื่อน ปรับเปลี่ยนตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการใช้พลังงาน โดยหันมาใช้พลังงานทดแทนต่างๆ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนภูมิทัศน์ทั้งหมด (Landscape Changing) ในระบบอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่จะมีผลดีต่อการสร้างความยั่งยืนต่อไปในอนาคต

ทั้งยังเป็นโอกาสสร้างระบบเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม อาทิ ภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจ ที่ต่อยอดมาจากพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด ซึ่งหลายประเทศมองว่าการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมใหม่ ๆ มาผนวกกับการสร้างอุตสาหกรรมที่คำนึงถึงความยั่งยืนนั้นจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมให้กับโลก

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด หรือ เครือซีพี การศึกษาของเยาวชนก็สำคัญ

นายศุภชัยกล่าวว่า ซีพียังได้ส่งเสริมสังคมด้านการศึกษาด้วย ผมเป็นรุ่นที่ 50 (อายุ 50+) แล้วรุ่นผมถูกสร้างมาเป็นหุ่นยนต์  เราไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยการกล้าตั้งคำถามที่นำไปสู่การพัฒนาหรือปรับปรุง ดังนั้นคนที่จะเปลี่ยนโลกได้จริง ๆ ในอีก 15 ปีข้างหน้า คือเด็กในวันนี้  เพราะพวกเขาจะกลายเป็นเป็นกำลังหลักของโลกในอนาคตและสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมโลกได้ แต่เด็กในวันนี้มีความรู้มากแค่นั้น ดังนั้นเราจึงให้ความสำคัญกับการศึกษาด้วย

ภาวะโลกร้อนหรือ Climate Change เป็นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่ CP ในฐานะผู้ให้บริการด้านผลิตภัณฑ์และการบริการที่หลากหลายแน่นอนว่าเราเห็นความสำคัญของสิ่งแวดล้อมที่เราได้รับมา

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ซีอีโอเครือซีพี กล่าวต่อว่า สำหรับการดำเนินการของเครือซีพีด้านความยั่งยืนที่ผ่านมา มีการปรับตัวของการดำเนินธุรกิจในกลุ่มต่างๆ ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน การมีส่วนร่วมตลอดจนการสร้างความยั่งยืนจนปัจจุบันเครือซีพีได้รับการยอมรับในระดับโลกทั้งในเวที UN Global Compact และติดในท็อปของ 38 บริษัทระดับโลกที่ดำเนินการเรื่องความยั่งยืนที่เปลี่ยนแปลงได้จริง

ต้องเลิกระบบบริโภคนิยมให้ได้

นอกจากนี้ ยังมีความท้าทายที่เกิดขึ้นอีก ได้แก่ 1.ความเหลื่อมล้ำ ทั้งการขาดโอกาสในการเข้าถึงองค์ความรู้ โอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน ขาดศักยภาพที่จะนำเอาเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ 2.เปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลด้านพลังงาน มุ่งการสร้างพลังงานทดแทนจากสิ่งแวดล้อมและขยะ

โดยสิ่งที่จะเข้ามาตอบโจทย์หรือแก้ปัญหาในส่วนนี้ คือ ต้องเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวกับบริบทของการบริโภคนิยมแบบสุดกู่ในสังคมไทย ทำให้ทุกคนตระหนักรู้ถึงความสูญเปล่าของทรัพยากรที่กำลังบริโภค เพราะว่า บริบทการบริโภคนิยมแบบสุดกู่ จะยิ่งทำให้หลุมของต้นทุนภาคการผลิตใหญ่ขึ้นๆ อย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และนั่นจะทำให้ไทยตกอยู่ในหลุมที่จะไม่สามารถปีนขึ้นมาได้ทัน

3.การเปลี่ยนแปลงอากาศที่ทุกประเทศกำลังเจอผลกระทบอย่างหนัก 4.เงินเฟ้อรุนแรง 5.โลก 2 ขั้วอำนาจจากที่เห็นทั้งสงครามที่เกิดขึ้น ส่งผลให้เกิดปัญหาด้านการกักตุนอาหารจากประเทศผู้ผลิต ตรงนี้ไทยสามารถดึงเอาปัญหาด้านความขัดแย้งดังกล่าวมาทำให้ประเทศไม่ได้รับผลกระทบจากภาคการเกษตรกรรมของไทย และ  6. สุขภาพและโรคระบาด ซึ่งอาจเกิดจากระบบนิเวศการบริโภคของคนในโลกเองที่ทำให้เกิดการระบาดขึ้นของโรค

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด หรือ เครือซีพี เปิดแผนปล่อยก๊าซเรือนกระจก

นายศุภชัย กล่าวอีกว่า เครือซีพีมีแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานให้ลดลงทุกปี ซึ่งต้องเริ่มตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ ไปจนถึงห่วงโซ่อุปทาน และซัพพลายเชนทั้งหมด ซึ่งในเครือซีพีเอง เป็นผู้ออกแบบอาหารสัตว์ และดำเนินการภาคการเกษตร ซึ่งได้มีการวางแผนนำเอาพลังงานทดแทนมาช่วยการสร้างผลผลิตทั้งจาก พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงาน ควบคูู่ไปกับการทำ Biomass และ Biogas เน้นการควบคุมสิ่งแวดล้อม ให้อยู่ในหลักการธรรมชาติช่วยการปล่อยก๊าซลดคาร์บอน

โดยส่วนนี้เป็นแผนการที่ท้าทายอย่างมาก แต่เครือซีพีมีเป้าหมาย ที่มั่นคงและพนักงานทุกคนในองค์กรพร้อมจะเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน พร้อมกับประยุกต์นวัตกรรมและกลยุทธ์ขององค์กร เครือซีพีมีแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) 25% ในปี 2030

“เราเคยมีปัญหาการปลูกข้าวโพดพอหมดฤดูกาลก็เผา แทนที่จะเอาซังมาทำเป็นปุ๋ยชีวภาพ ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจกับกับเกษตรกรในพื้นที่คือทำให้พื้นที่เกษตรกรรมมีการใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าส่งเสริมปลูกไม้ยืนต้น ควบคู่การการบริหารจัดการน้ำช่วยให้เกษตรกรวางแผนภูมิทัศน์ ปรับเปลี่ยนตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการใช้พลังงาน โดยหันมาใช้พลังงานทดแทนต่าง ๆ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนภูมิทัศน์ทั้งหมด (Landscape Changing) ”

วอนทุกฝ่ายร่วมมือแก้โจทย์โลก

นายศุภชัย เสริมอีกว่า ความยั่งยืนเป็นสิ่งสำคัญที่สุดไม่เฉพาะแค่ตอบโจทย์ต่อปัญหาความท้าทายที่โลกต้องเผชิญทั้งจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ปัญหาความขัดแย้งจากภูมิรัฐศาสตร์ และโรคระบาด ดังนั้น จึงควรมีความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคมเพื่อให้เกิดความตระหนักรู้ เน้นการร่วมมือแบบ PPP รัฐ เอกชน ประชาชน ผลักดันให้ไปสู่ภาคประชาสังคมให้ได้ เพื่อจะบรรลุเป้าหมายที่ท้าทายที่วางไว้

"เรื่องที่กำลังเป็นปัญหาตอนนี้เป็นสิ่งที่คนรุ่นเก่ารวมถึงรุ่นเราสร้างไว้ให้กับโลก ดังนั้น การแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในอนาคตคือ การร่วมสร้างองค์ความรู้กับเยาวชนและทำให้เด็กเหล่านั้นมองเห็นว่าสิ่งที่กำลังจะดำเนินไปเป็นความรับผิดชอบที่ต้องมีการปลูกฝังตั้งแต่ในระดับโรงเรียน"

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา เครือซีพี ก่อตั้งโครงการ CONNEXT ED โดยมีสมาชิกก่อตั้ง 12 บริษัท มีบริษัทเข้าร่วม 47 แห่ง มีโรงเรียนในโครงการมากกว่า 5,500 โรง ร่วมด้วยครูและผู้สอน 61,000 คน มีนักเรียนในโครงการ 2.31 ล้านคน ซึ่งปัจจุบันสามารถระดมทุนจากภาคเอกชนได้ 3,600 ล้านบาท

โดยโครงการนี้เป็นวัตถุประสงค์สำคัญในการสร้างคนใหม่ ที่เป็นกำลังสำคัญในอนาคตเป็นคนรุ่นใหม่ ที่ตั้งคำถาม แสดงความคิดเห็น และสามารถนำไปสู่การปรับปรุงที่ดีขึ้น ทรัพยากรเหล่านี้คือกำลังคนคุณภาพที่จะเข้ามาพลิกประเทศเปลี่ยนโลกในอีก 10-15 ปีข้างหน้า

ซึ่งทางที่จะต้องเดินไปคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นใตอนาคตคือ We are what We think หมายความว่า เราคือผลผลิตจากความคิดของเรา ดังนั้น เมื่อทุกคนเชื่อว่าปัญหาที่เราทุกคนกำลังเผชิญเป็นสิ่งที่ต้องร่วมมือกันก็มั่นใจว่าจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ร่วมกันได้

"ในชีวิตคนเราหลายคนมักให้ความสำคัญกับความมั่นคงของชีวิตและความฝันของตัวเอง แต่มักจะลืมไปว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต ที่ทำให้เกิดความมั่นคง และพลังที่ช่วยทำความฝันอันยิ่งใหญ่ของเราให้สำเร็จได้จริงๆ คือ รักแท้ ความเห็นอกเห็นใจ รักแท้ทำให้เราเห็น และยอมรับในความแตกต่าง เชื่อมเราเข้ากับความเป็นจริง และทุกสิ่งที่อย่างได้ ซึ่งรวมไปถึงตัวตนที่แท้จริงของเราและช่วยให้เราสนุกไปกับชีวิตที่แสนงดงามนี้ด้วยกัน”  นายศุภชัย กล่าว

related